บทที่ 7
ปัฐวีย์ได้รับข่าวดีเรื่องที่เสื้อผ้าเขาได้รับเลือกในอีก 2 วันถัดมา ข่าวนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือไปจากความคาดหมายของชายหนุ่มนัก เพราะมั่นใจว่าเสื้อผ้าแบรนด์เขานั้นดูดีและน่าสนใจไม่น้อย เมื่อได้รับแจ้งจากทางหนังสือ ผู้บริหารหนุ่มก็ให้ลูกน้องจัดการต่อ เพราะต้องตัดให้ตรงตามไซส์ของนางแบบ แต่แค่เห็นขนาดของทรวดทรงองเอวนางแบบที่ส่งมาให้ ชายหนุ่มก็จินตนาการไปไกล
“38-24-35” เสียงทุ้มๆ เอ่ยทวนสัดส่วนตรงหน้า ก่อนจะยิ้มตามประสาผู้ชาย หัวเราะออกมาเบาๆ เพราะลึกๆ อยากจะรู้ว่าเจ้าของสัดส่วนนี้หน้าตาเป็นยังไง แต่เขาก็หยุดความคิดไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงาน มือหนาเอื้อมไปกดรับ เพราะรู้ว่าเสียงแบบนี้คือเลขาแน่นอน
“ว่าไง”
“สายที่รีสอร์ตค่ะคุณเฟิสต์” เลขาหน้าห้องเอ่ยบอกเสียงนุ่ม แต่ก็แฝงไปด้วยความเข้มแข็ง เพราะการทำงานกับคนเนี้ยบอย่างปัฐวีย์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
“โอนมา”
“ค่ะ” สิ้นเสียงเลขา มาวิน ผู้จัดการรีสอร์ตของชายหนุ่มก็รีบรายงานตัวทันทีเมื่อถูกโอนสายให้ได้คุยกับเจ้านายใหญ่
“ผมมาวินครับคุณเฟิสต์ ขอโทษที่โทร.มารบกวน”
“มีอะไรด่วน” ปัฐวีย์เอ่ยถามออกไป เพราะคิดว่าที่รีสอร์ตมีเรื่องด่วนให้เขาต้องจัดการ มาวินจึงรีบพูดธุระทันที เรื่องที่เขาจะพูดนี้ต้องให้ผู้บริหารตัดสินใจเท่านั้น แต่ลึกๆ เขาอยากตอบว่าตกลงตั้งแต่ได้รับเรื่องมาแล้ว
“มีหนังสือจากเมืองนอกเล่มหนึ่ง แจ้งเรื่องมาว่าต้องการเข้ามาถ่ายแบบที่รีสอร์ตครับ”
“วันไหน แล้วจะมาอยู่กี่วัน”
“ต้นเดือนหน้าครับ จะมาอยู่สามสี่วัน ทีมงานประมาณ 10 คน” ผู้จัดการรีสอร์ตแทบจะเร่งวันเร่งเวลาให้ถึงวันนั้นเร็วๆ เสียด้วยซ้ำ รับรองเขาจะไม่ป่วย ไม่มีการลาแน่นอน ปัฐวีย์ทำท่าคิดว่าจะให้ใช้สถานที่ดีไหม เพราะถ้าเป็นหนังสือที่ไม่โด่งดังอะไรมากมาย เขาก็จะปฏิเสธ จึงถามหยั่งเชิงลูกน้องไป
“มาวิน นายรู้จักหนังสือเล่มนั้นหรือเปล่า”
“เอ่อ...คือ” คนถูกถามถึงขั้นอึกอัก จะให้ตอบว่ายังไง ถ้าตอบว่ารู้จัก ปัฐวีย์จะคิดอะไรไหม แล้วถ้าตอบว่าไม่รู้จักก็กลัวจะได้ยินว่าไม่อัพเดทโลกภายนอก ทั้งที่ลึกๆ เขานั้นแทบจะสะสมหนังสือหัวนอกเล่มนี้แทบทุกฉบับ พอจับเสียงได้ว่าลูกน้องชักไม่มั่นใจ ปัฐวีย์ก็ถามย้ำอีกครั้ง
“ว่าไง นายไม่รู้จักเหรอ”
“รู้จักครับ ผมว่าในบรรดาผู้ชายน่าจะรู้จักหนังสือเล่มนี้กันทั่วโลก”
“ถ้าคนอย่างนายยังรู้จัก แสดงว่าชื่อหนังสือคงต้องดังไม่น้อย” ปัฐวีย์ยิ้มให้ เพียงแค่นี้เขาก็พอจะได้คำตอบแล้ว ซึ่งมาวินนั้นยังเดาใจเจ้านายไม่ออก
“แล้วจะให้ผมตอบตกลงหรือปฏิเสธดีครับ”
“ตกลง ให้เขามาถ่าย แต่บอกไปว่าต้องลงเครดิตให้เราด้วย”
“ครับ” คนฟังแทบตะโกนดังๆ ก่อนจะวางสายไป โอกาสที่จะได้เห็นหนังสือแนวปลุกใจผู้ชายมาถ่ายแบบใกล้ๆ อย่างนี้มีง่ายๆ ซะที่ไหน ชักอยากจะเห็นนางแบบแล้วสิว่าเป็นใคร หวังว่าจะเป็นแม่สาวเคธี ขวัญใจของเขา ถ้าใช่จะดูแลชนิดยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมเลยแม่คุณ เมื่อปัฐวีย์เห็นชอบที่จะให้ใช้รีสอร์ตเป็นโลเคชั่นแล้ว มาวินก็แจ้งไปยังหนังสือทันทีว่าทางนี้อนุมัติ
ภายในสวนลิ้นจี่ขนาดไม่กี่ไร่ ซึ่งพอสร้างรายได้ให้พอกินพอใช้กำลังรอวันเก็บเกี่ยว คนที่กำลังโน้มกิ่งที่เต็มไปด้วยผลสีเขียวอมแดงช่อใหญ่ของผลไม้ชื่อดังแห่งเมืองสมุทรสงคราม ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีรสชาติกลมกล่อม คือวิไลภรณ์ หญิงสาวร่างเล็ก ตาโต ผมยาว ผิวขาว ไม่บอกไม่รู้ว่าเธอคือชาวสวน ที่กำลังจะเข้าพิธีพระราชทานปริญญาบัตรในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หญิงสาวจบจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยชื่อดัง
สาเหตุที่เลือกเรียนคณะนี้ เพราะอยากสานต่องานของพ่อ ผู้ซึ่งบุกเบิกที่ดินรกร้างจนกลายเป็นสวนลิ้นจี่ในปัจจุบัน แม้จะไม่มีที่ดินมากเท่าคนอื่นๆ แต่สองพ่อลูกก็มีกินมีใช้ไม่ขัดสน หนึ่งในเงินที่ส่งมาจุนเจือคือจากพี่สาวที่ไปทำงานอยู่ต่างประเทศและยังไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้านเลย ได้แต่คุยกันผ่านโทรศัพท์และอีเมลบ้างในบางครั้ง
“พี่เคทจะกลับมาทันงานรับปริญญาเราไหมนะ” วิไลภรณ์ลอบถอนหายใจออกมาหนักๆ เพราะเธออยากให้พี่สาวกลับมาในวันที่น่ายินดี แต่กลับมีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นขัดความฝันของหญิงสาว
“จะไปถามถึงมันทำไม ป่านนี้มีผัวเป็นฝรั่ง ลืมพ่อ ลืมน้องไปแล้ว” วรรณา หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นน้าเอ่ยขึ้นอยู่ด้านหลัง วิไลภรณ์ถึงกับหันขวับกลับไปมอง พร้อมส่งแววตาไม่พอใจให้ ถึงจะเสียมารยาทก็ตาม เพราะรู้ว่าน้าคนนี้ไม่เคยหวังดีกับเธอสักนิด ชอบแต่พูดให้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่เรื่อย จึงตอกกลับไปบ้างในวันที่เหลืออดเต็มที
“น้าษา ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าพูดเลย”
“หรือไม่จริง ถ้ามันได้ดี ป่านนี้มันคงกลับมาบ้านแล้วสิ นี่อะไร ปล่อยให้พ่อกับน้องทำงานงกๆ ในสวน ตัวเองกลับใช้ชีวิตสุขสบายที่เมืองนอก เอ...หรือว่าไปเป็นบ้านน้อยเศรษฐีกันนะ ถึงไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องแบบนี้” วรรณาจีบปากจีบคอพูดตามประสาสาวแก่ ชาวสวนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกมากนัก คิดเองเออเองไปเสียทุกอย่าง ปากร้ายจนไม่มีใครมาขอแต่งงาน ครองตัวเป็นโสดอยู่บนคานมาหลายปี
แม้จะไม่รู้ว่าวิรัชฎาไปประกอบอาชีพอะไรที่เมืองนอก แต่ก็ขอให้ได้พูดเหน็บแนมอย่างสนุกปาก เพราะไม่เห็นว่าหลานสาวจะได้ดีอะไรนั่นเอง ไปทำงานหลายปีฐานะทางบ้านก็ยังงั้นๆ ยังเป็นชาวสวนผลไม้ต่อไป ไม่เห็นเหมือนลูกหลานบ้านอื่นที่ไปทำงานแล้วมีเงินมีทองกลับมาเลย คำพูดของน้าแต่ละคำทำเอาวิไลภรณ์กำหมัดแน่น ถ้าไม่ติดว่าเป็นน้าแล้วมาพูดแบบนี้ รังรองได้กินหมัดเธอแทนข้าวแน่นอน
