
บทย่อ
บุพเพเล่ห์มาเฟีย เป็นภาคต่อจากไฟรักอำมหติมาเฟียค่ะ เป็นรุ่นลูกที่สนุกพอๆ กับรุ่นพ่อ ฝากติดตามด้วยนะคะ... **** บุพเพสันนิวาสดลให้มาเฟียหนุ่ม" ทายาทมหาเศรษฐีชื่อก้องได้พบกับ "อนินญามิน" โดยบังเอิญและก่อให้เกิดเป็นคำมั่นสัญญาร้อยรัดหัวใจสองดวงเข้าไว้ด้วยกัน แต่เมื่อได้พบกันอีกครั้ง กามเทพที่แผลงศรให้เขาต้องตาเธอตั้งแต่แรกกลับเล่นตลก และกำลังพรากเธอให้เข้าไปอยู่ในกรงทองของชายอื่น มีหรือที่เสือร้ายเลือดพ่อแรงถูกใจใครก็จับทำเมียอย่าง จิรายุ จะยอมง่ายๆ ในเมื่อเธอเกิดมาเพื่อเป็นมาดามของเขา ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์พรากเธอไป
1.บทนำ
*** ทักทายคร้า เรื่องนี้เป็นภาคต่อจากไฟรักอำมหิตมาเฟียจ๋า เป็นรุ่นลูกที่สนุกไม่แพ้รุ่นพ่อเลยละคะ***
***
จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย
ยามค่ำคืนเหนือแบล็กกาล่าสาขาเชียงใหม่ ดวงตาคมกริบของ จิรายุ มาจิสัน ยังคงทอดมองดวงจันทร์ที่สาดแสงสีเหลืองอร่ามสว่างอยู่บนฟ้าไกล มือหนาถือกำไลหยกครึ่งเสี้ยวไว้และไล้ไปมาเบาๆ ริมฝีปากหยักได้รูปมีรอยยิ้มผุดขึ้นทุกครั้งที่คิดถึงสาวน้อยผมเปียที่พบโดยบังเอิญ ดวงตาคมหวานลุกเป็นดวงไฟเล็กวับวาวทันทีที่กำไลหยกแตก จากเหตุการณ์วันนั้นมาถึงวันนี้ก็ผ่านไปยี่สิบกว่าปี เด็กคนนั้นคงโตเป็นสาวแล้ว
เธอยังเก็บหยกอีกครึ่งหนึ่งไว้หรือเปล่านะ...
คำถามนี้อยู่กับเขามาตลอด และทุกครั้งที่ไปดูการก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่ในรัฐบูดามัส จิรายุภาวนาให้มนตราแห่งพื้นทรายดลให้ได้พบเธออีกครั้ง เพื่อว่าจะได้เอากำไลชิ้นใหม่ให้กับเธอ มือหนาอีกข้างสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกำไลหยกสีเขียวใสออกมาดู ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นลวดลายรูปดอกรักที่ทำจากทองคำขาวโอบล้อมกำไลหยกไว้เกือบครึ่งเพื่อสื่อความหมายบางอย่าง
เมื่อหลายปีก่อน จิรายุเดินทางไปดูสถานที่ก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่ในรัฐบูดามัส ซึ่งเป็นรัฐอิสระที่ขอแยกตัวออกมาจากประเทศโอมาน ทำให้เขาได้พบกับอนินญามิน ฟรานเซส อัลมาล สาวน้อยแรกรุ่นซึ่งไปท่องเที่ยวที่โอเอซิสมันดาฮา ตอนนั้นวาติเน่บิดาของเขาเดินทางไปเจรจาธุรกิจเขาจึงขอตามไปด้วย
ครั้งแรกที่พบกัน อนินญามินวิ่งตามขโมยที่ล้วงกระเป๋าไปชนกับจิรายุ จนกำไลหยกที่บิดาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดหัก เมื่อเห็นเธอก็ร้องไห้เสียดายกำไล จิรายุรับปากจะหามาคืนเธอ เขาจึงเก็บกำไลหยกซีกหนึ่งไว้กับตัว ส่วนอีกซีกให้เธอเก็บไว้ ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มเมื่อคิดถึงสาวน้อยผมเปียที่ต่อว่าเขาอย่างไม่เกรงกลัว
เสียงฝีเท้าคุ้นหูเดินมาหยุดอยู่เบื้องหลังดึงภวังค์ของจิรายุกลับมา ของในมือถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทตัวนอก ก่อนจะหันมาหา มัสสะ โชติรัตน์ คนสนิทที่ทำหน้าที่ทั้งเลขาและบอดี้การ์ดส่วนตัว มัสสะสบนัยน์ตาสีสนิมยิ้มๆ อย่างรู้ใจเจ้านายหนุ่ม
“อย่ายิ้มเหมือนล้อเลียนแบบนั้นไอ้น้องรัก ไม่อย่างนั้นมีวางมวยรอบดึกแน่” จิรายุบอกพลางพิงสะโพกกับราวเหล็ก สายตาทอดมองดวงจันทร์สีนวลที่ลอยอยู่บนฟ้า มัสสะยิ้มกับท่าทีพาลๆ เพื่อกลบเกลื่อนการกระทำของตัวเอง
“ทำไมต้องรอครับ แค่คุณจิรายุสั่งมาคำเดียว เราก็จะควานหาเจ้าของกำไลหยกแล้วจับมาถวายถึงที่”
จิรายุหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปตบบ่าหนาอย่างสัพยอก
“ถ้ารออย่างมีความหวัง ถึงจะรอทั้งชีวิตเราก็พร้อมจะรอไม่ใช่เหรอ”
มัสสะก้มหน้ายิ้มๆ กับสำนวนนักรักของคนที่เทิดทูนดุจพี่ชาย
“ไม่ทราบสิครับ ผมเองก็ไม่เคยรอใครนานซะด้วย”
“สัญญาของลูกผู้ชายอย่างจิรายุ มาจิสันสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดนายก็รู้นี่นา”
สองหนุ่มต่างวัยหัวเราะในลำคออย่างถูกใจ
“แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่มีค่ามากกว่าคำสัญญา คือคำพูดธรรมดาที่ลงมือทำนะครับบอส”
จิรายุยิ้ม มือใหญ่สอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
“แน่นอน ถ้าต้องตาต้องใจ คำสัญญาจะมาพร้อมกับการกระทำ”
“ถ้าพบแล้วเธอมีคนอื่นล่ะครับ”
“ถ้าแค่คู่รักหรือคู่หมาย ฉันจะทำให้เธอรัก ถ้าทำไม่ได้ก็จับปล้ำทำเมีย” จิรายุบอกพลางขยิบตาให้ แต่เขาหารู้ไม่ว่าคำพูดนั้นจะเป็นจริงในอีกไม่นานนับจากนี้
“เลือดพ่อแรงจริงๆ ถูกใจใครก็จับมาทำเมีย” เสียงหวานของมาดามมัลลิกาดังมาจากประตู จิรายุหันไปเห็นมารดาเดินมาพร้อมกับคนเป็นพ่อก็เข้าไปสวมกอด
“แม่ไผ่หวาน มาได้ไงครับ” จิรายุก้มลงไปหอมแก้มนุ่มของผู้หญิงที่คนทั้งบ้านเทิดทูนและรักดั่งดวงใจโดยเฉพาะพ่อของเขา สองแม่ลูกกอดกันนานเพราะความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันเกือบสองอาทิตย์ ทำเอาต่อมหวงของคนเป็นพ่อพุ่งปรี๊ดจนต้องยกมือตบบ่าลูกชายอย่างปรามๆ
“กอดใครหัดเกรงใจเจ้าของเขามั่ง คนนี้ของพ่อไอ้ลูกรัก”
จิรายุขยิบตาให้บิดาอย่างล้อเลียน ก่อนจะหอมแก้มนุ่มของคนเป็นแม่อวดเจ้าของอีกรอบ
“ของพ่อแต่เป็นแม่ผมนี่ครับ”
มัลลิกายกมือประคองแก้มสากแล้วหอมเบาๆ อย่างแสนรัก
“แม่ผมแสนดีแบบนี้เสมอ”
“ไม่ต้องเลยพ่อตัวดี เมื่อกี้จะไปฉุดใครจ๊ะ”
จิรายุหลิ่วตาให้มัสสะที่ยืนมองความสุขของคนเป็นนายด้วยหัวใจเปี่ยมสุข
“เอ่อ” จิรายุคิดหาคำพูดแก้ต่างไม่ทัน มัลลิกาใช้สายตาบังคับให้มัสสะอธิบายแทน วาติเน่หัวเราะเบาๆ เมื่อตุลาการประจำบ้านเริ่มสอบสวน
“ว่าไงจ๊ะมัสสะ”
มัสสะกุมมือไว้ด้านหน้าพลางสบตาเจ้านายหนุ่ม
“ไม่ต้องกลัวจ้ะ เราจะช่วยกันไม่ให้จิรายุทำแย่ๆ แบบนั้นเหมือนใครบางคน” คนที่ถูกกระชดประชันถึงกับร้อนตัว รีบขยับเข้าไปสวมกอดภรรยาอย่างเอาใจ
“อดีตผ่านมาตั้งหลายปีแล้วนะแม่จ๋า อย่าเก็บไว้ให้รกสมองเลย ลืมๆ มันไปเถอะ”
มัลลิกาตวัดค้อนสามีแล้วหันไปบังคับมัสสะให้ตอบคำถาม
“เรื่องเดียวที่อยู่ในใจของบอสก็คือเจ้าของกำไลหยกครับ”
จิรายุหลบสายตามารดาที่มองมา วาติเน่เดินไปโอบบ่ากว้างของบุตรชาย
“รักหรือแค่ต้องการคืนของ”
จิรายุยิ้มให้คนเป็นพ่อ “ตอนนั้นแค่เอ็นดูครับ แต่ถ้าต้องใจคงต้องใช้วิธีเดียวกับพ่อ”
วาติเน่หัวเราะชอบใจกับลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แต่อีกฟากฟ้าเดียวกัน คนที่อยู่ในหัวข้อสนทนากำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่
รัฐบูดามัส ประเทศโอมาน
บนพื้นทรายกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา เม็ดทรายสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามบ่ายเป็นประกายวิบวับดุจประกายแห่งเพชร เพิ่มมนตร์เสน่ห์ให้พื้นทรายอันร้อนระอุมีพลังมากยิ่งขึ้น
แม้อุณหภูมิรอบเมืองหลวงบูดามัสจะร้อนแรงเพียงใด แต่คงไม่ร้อนเท่าอุณหภูมิในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์มหาเศรษฐีมาริด ฟรานเซส อัลมาล ซึ่งเวลานี้ลุกเป็นไฟ เพราะเจ้าของกำลังโกรธบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนอย่างเอาเป็นเอาตายที่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง โดยมีคุณช่อผกาภรรยานั่งมองสองพ่อลูกอย่างอ่อนใจ
“ไม่ค่ะพ่อ เป็นตายยังไงอนินก็จะไม่แต่งงานกับพี่ซาราฟเด็ดขาด” อนินญามินยื่นคำขาดกับบิดา ร่างกลมกลึงกระแทกก้นลงกับเก้าอี้นวมข้างมารดา ลำแขนยกขึ้นกอดอก ใบหน้าคมสวยบึ้งตึง ดวงตาของคนเป็นพ่อจ้องลูกสาวสุดที่รักอย่างโกรธกรุ่น
“เพราะอะไร ลูกบอกเหตุผลดีๆ ให้พ่อรู้หน่อยซิ ชีคซาราฟเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทุกคนอยากแต่งงานด้วยทั้งนั้น”
“แต่ไม่ใช่อนินค่ะพ่อ ยังไงอนินก็จะไม่ยอมแต่งกับคนที่ไม่รักเด็ดขาด” ดวงตาคมโตดุจสมันสาวจ้องตอบบิดาด้วยท่าทีจริงจัง
“ลูกมีคนรักแล้วเหรอ ตั้งแต่เรียนจบมาพ่อไม่เห็นลูกมีใครเลย” นายมาริดเอ่ยหน้าตาย ทำเอาอนินญามินหน้างอง้ำยิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าลูกสาวเขาไม่สวย แต่ที่ไม่มีใครเพราะร้ายจนใครรับมือไม่ไหวต่างหาก
“พ่ออะ...” อนินญามินเรียกบิดาอย่างขัดใจ คุณช่อผกานางฟ้าประจำบ้านเห็นเรื่องราวจะร้อนขึ้น นางก็เลยต้องใช้ความอ่อนโยนดับไฟนั้นเสียก่อน
“เอาล่ะค่ะคุณพ่อคุณลูก แม่ว่าเราหยุดคุยเรื่องนี้ก่อนดีกว่ามั้ยคะ ถ้าเราช่วยกันคิดอาจมีทางออกดีๆ ก็ได้นะ อย่างเช่นว่า...”
“ไม่ค่ะแม่ ทางออกที่ดีที่สุดคืองานแต่งระหว่างอนินกับพี่ซาราฟจะต้องไม่เกิดขึ้น”
สองพ่อลูกกอดอกจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร คุณช่อผกามองหน้าสามีสลับกับบุตรสาวแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“ถ้าเรายืดเวลาออกไปอีกหน่อยได้มั้ยคะคุณ ให้ลูกกับชีคซาราฟได้รู้จักกันมากกว่านี้อีกสักนิด” คุณช่อผกาพยายามหาทางออกให้ครอบครัว เพราะความเป็นเพื่อนที่เคยเกื้อกูลกันระหว่างเอเมียร์บารัคกับสามีของนาง ทั้งสองจึงอยากให้ลูกเกี่ยวดองกันตลอดไป และนี่คือสาเหตุที่วันนี้เป็นวันโลกาวินาศของ อนินญามิน
“ถึงจะยืดเวลาออกไปนานแค่ไหน ก็ไม่ทำให้อนินเปลี่ยนใจได้หรอกนะคะ”
“แต่ยังไงลูกก็ต้องแต่งงานกับชีคซาราฟ” ยื่นคำขาดเสร็จมาริดก็เดินออกจากห้อง อนินญามินหน้าตึงมองตามแผ่นหลังบิดาอย่างน้อยใจ คุณช่อผกาขยับเข้าไปใกล้บุตรสาว มืออบอุ่นของคนเป็นแม่วางบนศีรษะนุ่มอย่างแสนรัก
“อย่าคิดมากนะลูก ค่อยๆ คิดเดี๋ยวก็พบทางออกจ้ะ”
อนินญามินโผเข้ากอดมารดาเพื่อหาหลักยึด แม้รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่บิดาทำไปทั้งหมดเพราะรัก แต่เธอจะแต่งได้ยังไงในเมื่อใจของเธอยังรอคอยคำสัญญาของใครบางคน
หลังจากบรรยากาศตึงเครียดผ่านไป อนินญามินก็ย้ายตัวเองจากห้องโถงไปนั่งผ่อนคลายความเครียดในโดมดอกไม้ข้างห้องนั่งเล่น กลิ่นหอมของมวลดอกไม้ไทยที่มารดาโปรดปรานส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วโดมกว้าง เธอเรียนจบด้านบริหารมาช่วยงานบิดาได้ไม่เท่าไร ท่านก็บังคับให้เธอแต่งงานกับชีคซาราฟแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน เธอยังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำด้วยซ้ำ อีกอย่างชีคซาราฟก็เอ็นดูเธอเหมือนน้องสาว จะให้ความรู้สึกที่มีต่อกันเปลี่ยนแปลงเพียงเพราะพิธีแต่งงานได้ยังไง
มือเรียวขาวไล้กำไลหยกครึ่งเสี้ยวเบาๆ ใจพานคิดถึงเด็กผู้ชายท่าทางสุขุมและเป็นผู้ใหญ่เกินอายุคนนั้น คำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ก่อนจากกันยังคงก้องอยู่ในหัวใจ...เราต้องเจอกันอีกแน่ๆ ฉันเชื่ออย่างนั้น...จนเวลาล่วงมานาน คำพูดนั้นก็ยังก้องอยู่ในใจ และเธอก็แอบรอเขาอยู่ลึกๆ อย่างมีความหวัง แล้วเราจะเจอกันได้ยังไงเพราะฟ้าช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน
แต่เรื่องเฉพาะหน้าของเธอตอนนี้ก็คือ ทำยังไงไม่ให้งานแต่งงานระหว่างเธอกับชีคซาราฟเกิดขึ้น คิ้วโก่งสวยขมวดเป็นปมอย่างครุ่นคิด แล้วสมองก็ไปหยุดตรงที่คำว่าหนีเท่านั้นที่จะหยุดยั้งทุกอย่างได้
ทันทีที่แสงอัสดงจมหายเข้าไปในสันทรายที่ไกลโพ้น เสื้อผ้าและของใช้จำเป็นก็ถูกแพ็กลงกระเป๋า ร่างโปร่งระหงในชุดสูทสีดำหิ้วกระเป๋าเดินออกจากประตูห้องนอนไปอย่างเร่งรีบ เพราะเธอต้องหนีไปก่อนที่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองจะกลับมาจากงานเลี้ยงที่วังหลวง
ใบหน้าเนียนสวยมองซ้ายมองขวาเพื่อดูลาดเลา เมื่อเห็นทางหนีปลอดโปร่งโล่งตลอด ริมฝีปากรูปกระจับก็ยกยิ้ม รีบเดินลงบันไดไปที่โรงจอดรถ
“จะไปไหนอนิน...”
อนินญามินสะดุ้งหันไปมองมารดาอย่างตกใจ คุณช่อผกามองการแต่งกายและกระเป๋าเดินทางของบุตรสาวแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ
“แม่ไม่ได้ไปงานเลี้ยงกับพ่อเหรอคะ”
“แม่รู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะจ้ะ เลยไม่ได้ไป”
หญิงสาววางกระเป๋าลงพื้น รีบเดินไปจับมือมารดาอย่างเป็นห่วง
“แม่กินยาหรือยังคะ ไปหาหมอมั้ยเดี๋ยวอนินพาไป หรือจะให้หมอฮาหมัดมาตรวจที่บ้าน” หญิงสาวถามอย่างร้อนใจ คุณช่อผกายิ้มน้อยๆ พลางยกมือลูบศีรษะนุ่ม สายตาอ่อนโยนมองดวงหน้าคมสวยรูปหัวใจของบุตรสาวอย่างรักใคร่
“แม่ปวดหัวใจนิดหน่อยจ้ะที่ลูกสาวจะหนีออกจากบ้าน”
ดวงตาคมโตขยายกว้างอย่างตกใจ มารดารู้เท่าทันความคิดของเธอเสมอ
“แม่รู้...”
คุณช่อผกายิ้มให้บุตรสาว ทำไมนางจะไม่รู้ว่าลูกสาวคนนี้รั้นแค่ไหน ถ้าบอกว่าไม่ ต่อให้เอาดาวทั้งฟ้ามากองตรงหน้าคำตอบก็คือไม่ ซึ่งนิสัยนี้อนินญามินรับมาจากบิดาเต็มๆ ผิดกับลูกชายคนโต ขานั้นสุขุมอ่อนโยนและตั้งใจทำงานจนคนเป็นพ่อเบาใจ
“แม่เลี้ยงลูกด้วยหัวใจนะจ๊ะ ลูกคิดอะไรทำไมแม่จะไม่รู้ ทำแบบนี้รู้ไหมว่าหัวใจของพ่อกับแม่จะทุกข์ระทมแค่ไหน อนิน”
หญิงสาวน้ำตาคลอ นัยน์ตาสีดำขลับสบตามารดาอย่างสำนึกผิด มือเรียวสวยก้มลงกราบที่อกอุ่นของผู้ให้กำเนิด
“อนินขอโทษค่ะแม่ แต่อนินทนไม่ได้ที่จะต้องแต่งงานกับพี่ซาราฟ”
“การหนีและทิ้งปัญหาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนะอนิน พ่อจะเสียคำพูดแค่ไหนหนูก็น่าจะรู้”
“อนินรู้ค่ะ แต่พ่อก็น่าจะฟังกันบ้าง คนที่ไม่รักทำยังไงก็รักไม่ได้ อนินกับพี่ซาราฟไม่ได้รักกันจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง แม่อนุญาตให้อนินไปนะคะ”
คุณช่อผกามองน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มนวล แล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดออกให้เบาๆ
“อนินจะไปอยู่ที่ไหน ยังไงเสียชีคซาราฟก็ต้องตามตัวเจออยู่ดี เขาคงไม่ยอมเสียหน้าแน่ๆ”
“เรื่องนั้นแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่ซาราฟหาผู้หญิงแต่งงานได้ไม่ยากหรอก อนินจะไปอยู่ฝรั่งเศสสักพัก ถ้าพ่อเปลี่ยนใจ อนินจะกลับมา” เธอจับมือมารดาบีบเบาๆ อย่างเสียใจที่ไม่สามารถฝืนใจตัวเองทำในสิ่งที่บิดาต้องการได้
“ถ้าจะไปต้องไปเมืองไทยเท่านั้นจ้ะ ถ้าประเทศอื่นแม่ไม่อนุญาต”
“หมายความว่า...” อนินญามินถึงกับตาโตอย่างดีใจ คุณช่อผกาเดินไปหยิบตั๋วเครื่องบินส่งให้บุตรสาว อนินญามินมองมารดาทั้งน้ำตาอย่างตื้นตัน “แม่ขา” หญิงสาวโผเข้ากอดมารดา คุณช่อผกากอดตอบและลูบแผ่นหลังบางอย่างปลอบโยน
“ไปอยู่กับคุณตาคุณยายสักพักนะจ๊ะ สบายใจแล้วค่อยกลับมา”
อนินญามินคลายอ้อมแขนออกแล้วก้มลงกราบที่อกมารดาอีกครั้ง
“ไปเชียงใหม่พ่อก็ต้องตามเจออยู่ดี”
“เรื่องนั้นแม่จัดการเองจ้ะ ยังไงเสียคุณตาจะต้องหาทางปกป้องหนูอยู่แล้ว”
อนินญามินยิ้มออกมาอย่างดีใจเมื่อภาพของคุณตาวัยเจ็ดสิบต้นๆ แต่ยังดูแข็งแรงชอบแต่งตัวคาวบอยเด่นชัดขึ้นในหัว และท่านทั้งสองก็รักเธอที่สุดจนไม่มีใครกล้ารังแกเธอ
“ขอบคุณนะคะแม่ ฝากขอโทษพ่อกับพี่ฟรานซีสด้วยนะคะ” คุณช่อผกาพยักหน้า “อนินไปนะคะแม่”
“ถึงเมืองไทยแล้วโทรบอกแม่ด้วยนะ แล้วก็ดูแลตัวเองให้ดีนะจ๊ะ”
“ค่ะแม่ อนินจะไม่ทำให้พ่อกับแม่ต้องเป็นห่วง อนินไปนะคะ”
คุณช่อผกาเดินไปส่งลูกสาวที่รถ คนขับรถรีบยกกระเป๋าขึ้นรถแล้วรีบพาไปส่งที่สนามบิน คุณช่อผกายืนมองไฟท้ายรถจนกระทั่งลับสายตา ถ้าสามีรู้ว่านางกับบุตรชายสนับสนุนให้ อนินญามินหนีจะหัวเสียแค่ไหนก็ไม่รู้ ในใจได้แต่ภาวนาให้ปัญหาคลี่คลายไปในทางที่ดีด้วยเถอะ
****
