บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 1 กู้หว่านชิง

ณ ประตูเมืองอำเภอเหอหยาง

สายลมอ่อนพลิ้วพัดไล้ผิวกาย แสงแดดยามสายทาบทอเป็นประกายเหนือรถม้าคันหรู ทว่าบรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความอาวรณ์ กู้หว่านชิงยืนอยู่ข้างรถม้า ดวงหน้าสะสวยเจือแววอาทร ขณะที่มือเรียวประคองถุงเงินส่งให้บุรุษตรงหน้า

ไป๋เสวียนนั่งอยู่ภายในรถม้า เขาคือชายหนุ่มผู้มีรูปโฉมสง่างาม แม้ฐานะของเขาจะไม่ได้มั่งคั่ง แต่ความมุ่งมั่นและความฝันของเขานั้นสูงส่ง ส่วนกู้หว่านชิง เป็นบุตรีพ่อค้าวาณิชผู้มั่งคั่ง บิดาของนางค้าขายเครื่องหอมและเครื่องประดับ ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่เคยขัดสนเรื่องเงินทอง

วันนี้เขากำลังจะเดินทางไปสอบเข้ารับราชการที่เมืองหลวง นางจึงมาส่งเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะจากไป นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ขณะที่เอื้อมมือส่งถุงเงินให้ “ท่านอย่าลืมคำสาบานของพวกเรานะ” เสียงของนางนุ่มนวล ทว่าฉายแววจริงจัง

ไป๋เสวียนรับถุงเงินมา เขาจ้องมองดวงตาของนางด้วยรอยยิ้มละมุน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แน่นอน ข้าไป๋เสวียนจะไม่มีวันลืมคำมั่นสัญญา หากข้าได้รับตำแหน่งจอหงวนเมื่อใด ข้าจะกลับมาสู่ขอเจ้าทันที หว่านชิง... รอข้านะ ข้าจะรีบกลับมา”

ดวงตาของกู้หว่านชิงสั่นไหวเล็กน้อย นางเชื่อในคำพูดของเขา เชื่อในคำมั่นนั้นสุดหัวใจ ทว่าความรู้สึกหวั่นไหวก็ยังแทรกซึมอยู่ในอก ลางสังหรณ์บางอย่างบอกนางว่าการจากลาครั้งนี้อาจยาวนานกว่าที่คิด

เสียงสารถีสะกิดเรียกให้ขึ้นรถม้า การเดินทางไม่อาจล่าช้าไปกว่านี้ ไป๋เสวียนมองนางเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปิดม่านหน้าต่างรถม้าลง เสียงแส้สะบัดดังขึ้น รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากประตูเมือง กู้หว่านชิงยืนนิ่งมองมันจนกระทั่งลับสายตา หัวใจของนางพลันถูกเติมเต็มด้วยความว่างเปล่ารู้สึกวูบโหวงแปลก ๆ

กู้หว่านชิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม สายตาของนางทอดมองไปยังถนนข้างหน้า แม้รถม้าจะลับสายตาไปแล้ว แต่ความคิดถึงยังคงทอประกายในดวงตาคู่งาม

เสี่ยวลู่ สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ยืนอยู่เคียงข้างนาง นางมองตามรถม้าด้วยสีหน้ากังวล ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “คุณหนู... หนนี้คุณชายไป๋จะต้องใช้เวลานานเพียงใดหรือเจ้าคะกว่าจะกลับมา?”

เสียงหวานใสของสาวใช้แฝงไปด้วยความไม่มั่นใจ นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยต่อ “คุณหนูมั่นใจจริงหรือเจ้าคะว่าคุณชายไป๋จะสอบได้เป็นจอหงวน หากเขาสอบไม่ผ่านเล่า? ไม่แน่ว่าหากเขาต้องสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า... คุณหนูของข้าคงกลายเป็นสาวเทื้อกระมัง”

คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็แฝงด้วยความหวั่นใจลึก ๆ ในฐานะผู้ติดตามมานานปี เสี่ยวลู่ย่อมรู้ดีว่าคำมั่นสัญญาของบุรุษนั้นมั่นคงเพียงใดในยามกล่าว แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ใครจะล่วงรู้ว่าหัวใจจะเปลี่ยนแปรหรือไม่

กู้หว่านชิงหันมามองสาวใช้ ก่อนจะแค่นหัวเราะเบา ๆ ดุอย่างไม่จริงจังนัก “เจ้านี่ช่างพูดจริง ๆ เสี่ยวลู่” นางส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู ก่อนจะกล่าวด้วยแววตามุ่งมั่น “คุณชายไป๋เป็นคนมีความเพียรพยายาม ข้าเชื่อมั่นว่าเขาต้องทำได้แน่ หากเขาไม่ได้อันดับหนึ่งก็มิใช่เรื่องใหญ่ ขอเพียงใจของเราสองยังคงมั่นคงต่อกัน... เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว” นางพูดพลางกล่าวเดินกลับ

สายลมอ่อนพัดโชย กลิ่นหอมจางของดอกเหมยลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ ร่างสูงโปร่งของบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากกู้หว่านชิง สายตาของเขาจับจ้องนางเงียบ ๆ ดวงตาคมลึกฉายแววสงบ แต่หากสังเกตดี ๆ จะพบว่ามันแฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะคาดเดา

ชายหนุ่มผู้นี้เป็นผู้ติดตามของนาง ไม่ใช่เพราะเป็นบ่าวรับใช้ แต่เพราะบิดาของนางเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน

หากไม่ได้รับความช่วยเหลือ เขาคงไม่มีโอกาสยืนอยู่ตรงนี้ โชคดีที่ความตายยังไม่พรากเขาไป ทว่าสิ่งที่ถูกช่วงชิงไปกลับเป็นความทรงจำ...เขาไม่อาจจำได้แม้แต่ชื่อของตนเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ กู้หว่านชิงจึงตั้งชื่อให้เขาว่า หยาง คำสั้น ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย นางบอกว่ามันคือแสงสว่างของดวงตะวัน ช่วยนำพาผู้คนออกจากความมืดมิด เช่นเดียวกับที่เขาได้รับชีวิตใหม่

“คุณหนูขอรับ รถม้าจอดอยู่ด้านโน้น คุณหนูจะไปเดินเล่นก่อนหรือไม่” หยางเอ่ยถาม น้ำเสียงทุ้มต่ำ สุขุมเยือกเย็นตามนิสัยของเขา

กู้หว่านชิงละสายตาจากถนนที่รถม้าของไป๋เสวียนลับหายไปก่อนหน้านี้ ก่อนจะส่ายหน้าพลางยิ้มบาง ๆ “ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าออกมานานแล้ว หากท่านพ่อรู้เข้า ข้าคงถูกบ่นจนหูชาอีก”

หยางพยักหน้ารับรู้ แม้ใบหน้าของเขายังคงเรียบนิ่ง ไม่เผยความคิดใด ๆ ออกมา ทว่าคนที่แสดงออกชัดเจนกลับเป็นเสี่ยวลู่ นางเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาหม่นหมองขณะทอดมองแผ่นหลังของคุณหนู นางรู้ดีว่า แม้คุณหนูจะทำทีเข้มแข็ง แต่หัวใจนั้นบอบช้ำเพียงใด

กลิ่นหอมของซาลาเปาร้อน ๆ โชยมาจากแผงขายไม่ไกลนัก เสี่ยวลู่กลืนน้ำลายลงคอ อยากได้สักสองสามลูกเสียเหลือเกิน แต่ว่า... สายตาของนางหันไปมองคุณหนูของตน ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา

หลายวันมานี้ คุณหนูแทบไม่แตะต้องอาหารเลย หรือไม่ก็กินเพียงไม่กี่คำในแต่ละวัน พูดก็พูดเถอะ ขนาดขนมที่เคยโปรดปรานยังไม่แตะต้อง เสี่ยวลู่เห็นแล้วปวดใจนัก นางกลัว... กลัวเหลือเกินว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ คุณหนูของนางคงจะล้มป่วยด้วยโรคทางใจ

กู้หว่านชิงหัวเราะเบา ๆ กับถ้อยคำของเสี่ยวลู่ นางส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะดึงถุงเงินอีกใบที่ห้อยอยู่กับสายคาดเอวออกมา แล้วยื่นให้สาวใช้ “รู้นะว่าเจ้ากำลังหิว ไปซื้อมาหลายลูกหน่อย แบ่งให้พี่หยางบ้าง ตั้งแต่เช้าข้าก็เห็นเขากินโจ๊กแค่ไม่กี่คำเท่านั้น”

หยางขยับตัวเล็กน้อย ราวกับจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นสายตาที่แฝงไปด้วยความห่วงใยจากเจ้านายสาว เขากลับเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “คุณหนูอย่าได้กังวลเลยขอรับ โจ๊กร้อน ๆ แค่ไม่กี่คำ มันก็ทำให้ข้ามีกำลังใจที่จะอยู่ต่อแล้ว”

แม้เขาจะพูดเช่นนั้น ทว่าเมื่อเห็นว่านางเป็นห่วงเขาถึงเพียงนี้ หัวใจที่ด้านชากลับรู้สึกอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด ก่อนจะยอมรับน้ำใจของนางแต่โดยดี “ก็ได้ขอรับ แต่หากข้ากิน คุณหนูก็ต้องกินด้วย หากท่านไม่กิน ข้าก็ไม่กินเช่นกัน”

เสี่ยวลู่ที่กำลังดีใจจะได้ซาลาเปาอุ่น ๆ กลับต้องทำหน้ายับย่น นางบ่นเสียงแผ่ว “อะไรอีกเนี่ยพี่หยาง ข้าน่ะหิวท้องไส้จะขาดอยู่รอมร่อ ท่านคิดจะเกลี้ยกล่อมคุณหนูหรืออย่างไรกัน ช่วงนี้คุณหนูลดความอ้วนอยู่!”

กู้หว่านชิงหลุดหัวเราะอีกครั้ง ดวงตาคู่งามฉายแววเอ็นดู ขณะปรายตามองสาวใช้ตัวน้อยที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่ข้าง ๆ นางส่ายศีรษะเล็กน้อยก่อนจะแสร้งขู่เสียงเรียบ

“เจ้าเด็กคนนี้ ระวังเถิด! กลับไปข้าจะฟ้องพี่สาวของเจ้า แล้วจะให้ท่านลุงหลี่หักเงินเจ้ามากกว่าเดิมอีก”

เสี่ยวลู่เบิกตากว้าง รีบคว้าแขนคุณหนูของตนพลางส่ายหน้าหวือ “ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู! ทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับข้าสักนิด”

น้ำเสียงกระปอดกระแปดของสาวใช้ทำให้กู้หว่านชิงหัวเราะเบา ๆ นางรู้ดีว่าเสี่ยวลู่ยังเป็นเพียงเด็กสาววัยสิบสี่สิบห้าเท่านั้น แม้จะถูกมอบหมายให้มาคอยรับใช้ แต่ก็ยังมีความไร้เดียงสาเจือปนอยู่ไม่น้อย

“ถ้าเช่นนั้นก็จงทำตัวให้ดี อย่ามัวแต่พูดจายียวนเข้าใจหรือไม่?” นางพูดพลางใช้นิ้วแตะหน้าผากเสี่ยวลู่อย่างแผ่วเบา

สาวใช้ตัวเล็กยู่หน้า แต่ก็ยอมพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ...แต่คุณหนูก็อย่าลืมกินซาลาเปาด้วยนะเจ้าคะ!”
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel