บทที่ 10 กฎสามข้อ
บทที่ 10 กฎสามข้อ
ตะวันคล้อยต่ำลงสู่สันเขา ย้อมท้องฟ้าของคอมมูนชิงซานให้กลายเป็นสีส้มปนม่วงที่งดงาม ทว่าแฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น สายลมยามค่ำคืนเริ่มพัดโชยมา นำพาไอหนาวที่เสียดแทงเข้าถึงกระดูกมาด้วย
ข่าวการจดทะเบียนสมรสฟ้าแลบของพวกเขากระจายไปทั่วทั้งคอมมูนเร็วยิ่งกว่าไฟป่า มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในรอบหลายปี ทุกคนต่างตกตะลึงและคาดเดาไปต่าง ๆ นานา บ้างว่าสวี่จิ้งอีคงจะเสียสติไปแล้วที่เลือกแต่งงานกับคนพิการสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างลู่เฟิง บ้างก็ว่าลู่เฟิงคงใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่างหลอกลวงปัญญาชนสาวผู้ไร้เดียงสา และมีหลายคนที่บอกว่าถึงอย่างไรลู่เฟิงก็เคยเป็นทหาร เขามีเกียรติมีศักดิ์ศรี ก็สมควรที่จะได้แต่งงานกับปัญญาชนจากปักกิ่ง แต่ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร ความจริงก็คือความจริง
สวี่จิ้งอีและลู่เฟิงเดินกลับมาถึงบ้านตระกูลลู่อีกครั้งหนึ่ง หากแต่สถานะของคนทั้งสองได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาจากไปในฐานะคนแปลกหน้าสองคนที่เพิ่งทำข้อตกลงกัน และกลับมาในฐานะสามีภรรยาตามกฎหมาย ก่อนที่ลู่เฟิงจะเปิดประตู สวี่จิ้งอีก็เอ่ยบางสิ่งขึ้นมา
"ฉันมีกฎสามข้อสำหรับการแต่งงานครั้งนี้"
ลู่เฟิงชะงักมือค้างอยู่ที่ประตู เขาหันมาจ้องเธอด้วยสายตาที่ซับซ้อน
"หนึ่ง" เธอชูหนึ่งนิ้ว "นี่คือพันธสัญญา ไม่ใช่การแต่งงาน เราจะนอนแยกห้อง สอง" เธอมองไปที่ขาของเขา "ฉันจะรักษาคุณ แต่คุณต้องทำตามที่ฉันสั่งทุกอย่าง และสาม" เธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา "ห้ามถามว่าของของฉันมาจากไหน"
นี่คือการป้องกันคำถามที่เธอไม่อยากจะตอบ กันเอาไว้ก่อน และนี่คือการวางรากฐานของความสัมพันธ์ที่อันตรายที่สุด ลู่เฟิงไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงยกยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็ผลักประตูรั้วที่โยกเยกเข้ามา เขาก็พบว่าน้อง ๆ ทั้งสองคนยืนรออยู่หน้าประตูบ้านด้วยสีหน้าวิตกกังวล ซาลาเปาในมือกินหมดไปแล้ว แต่ความอิ่มท้องกลับถูกแทนที่ด้วยความกังวลที่หนักอึ้ง
ลู่หลิงกอดพี่ชายคนรองไว้แน่น ดวงตากลมโตบนใบหน้าเล็ก ๆ ผอมแห้งของเธอ จ้องมองมาที่พี่ใหญ่สลับกับสวี่จิ้งอีด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ เธอไม่เข้าใจเรื่องการแต่งงาน แต่จากประสบการณ์อันน้อยนิดที่พ่อของเธอแต่งงานนั้น มันคือจุดเริ่มต้นของฝันร้าย ความทรงจำอันเลวร้ายนั้นบอกว่า เมื่อพ่อแต่งงาน พ่อก็จะต้องกลายเป็นของแม่เลี้ยง และหลังจากนั้นพวกเธอก็จะถูกทุบตีและถูกให้อดอาหารเหมือนที่แม่เลี้ยงเคยทำ พ่อฮีโร่ของเธอ ก็ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือพวกเธอได้ พ่อทำได้แค่มอง ในขณะที่แม่เลี้ยงลากพวกเธอไปขัง ความคิดของเด็กน้อยเกี่ยวกับการแต่งงานนั้นคือเรื่องเลวร้ายที่สุด เธอกลัว เธอกลัวว่าพี่สาวคนสวยที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นมานี้จะมาแย่งพี่ชายคนเดียวของพวกเขาไป แย่ง เหมือนกับที่แม่เลี้ยงคนนั้นเคยแย่งพ่อของเธอไป
ลู่เฟิงมองหน้าน้อง ๆ ของเขา แววตาที่เคยแข็งกร้าวพลันอ่อนแสงลง เขาเห็นความหวาดกลัวที่ฝังลึกในแววตาของลู่หลิง มันคือความทรงจำเดียวกับที่เขามี เขาย่อตัวลงตรงหน้าลู่หลิง
“ใช่” เขาตอบสั้น ๆ แต่หนักแน่น หัวใจของลู่หลิงหล่นวูบ “จากนี้ไป พี่สาวเธอจะมาอยู่กับพวกเราที่นี่”
ลู่เฟิงหยุด เขาเห็นความสิ้นหวังในแววตาของน้องสาว เขาหันไปมองหน้าสวี่จิ้งอี ผู้หญิงที่เพิ่งประกาศก้องในสำนักงานว่าเขาคือวีรบุรุษ เขาสูดหายใจลึก ก่อนจะหันกลับมาหาเด็ก ๆ
“และเธอ” เขาตัดสินใจเดิมพันความเชื่อใจทั้งหมดของเขาลงไปในคำพูดนี้ “เธอจะมาเป็นพี่สะใภ้ และเธอจะมาปกป้องพวกเรา”
คำยืนยันนั้นทำให้ลู่หลิงและลู่ซานถึงกับผงะไป เด็กทั้งสองมองไปยังสวี่จิ้งอีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงยิ่งกว่าเดิม
"ไม่เอา!" ลู่ซาน เด็กชายที่ปกติจะเงียบขรึมกลับเป็นฝ่ายตะโกนขึ้นมาก่อน เขาก้าวมายืนขวางหน้าพี่ชาย ใช้ร่างเล็ก ๆ ของตัวเองปกป้องพี่ชายจากสวี่จิ้งอี
"พี่ใหญ่เป็นของพวกเรา!" เขาประกาศเสียงสั่นเครือ "พี่ใหญ่ขาเจ็บ! พี่ห้ามมาแย่งพี่ใหญ่ไปนะ!" แม้จะเพิ่งกินซาลาเปาของเธอไป แต่พี่ชายสำคัญกว่า ลู่หลิงน้ำตาคลอ เธอดึงแขนเสื้อลู่ซานไว้
"พี่รอง แล้ว... แล้วซาลาเปาล่ะคะ?" เด็กน้อยสับสน เธอกลัวผู้หญิงคนนี้มาแย่งพี่ใหญ่เช่นกัน แต่เธอก็ชอบของที่ผู้หญิงคนนี้ให้ เธอไม่อยากให้พี่ชายถูกแย่งไป แต่เธอก็อยากกินซาลาเปาอีก มันคือความขัดแย้งที่น่าสงสารของเด็กที่ขาดแคลนมาทั้งชีวิต สวี่จิ้งอีมองภาพนั้นนิ่ง ๆ เธอเข้าใจความรู้สึกของเด็ก ๆ ดี สำหรับพวกเขาแล้ว เธอคือคนนอกที่จู่ ๆ ก็บุกรุกเข้ามาในพื้นที่ปลอดภัยเพียงแห่งเดียวที่พวกเขามี การสร้างความไว้วางใจต้องใช้เวลาและการกระทำ ไม่ใช่แค่คำพูด
เธอไม่ได้พยายามจะเข้าไปตีสนิทกับเด็ก ๆ ในทันที แต่หันไปสำรวจสภาพบ้านที่บัดนี้ได้กลายเป็นเรือนหอของเธออย่างละเอียดเป็นครั้งแรก
ภายในบ้านมืดและอับชื้นยิ่งกว่าที่เห็นจากภายนอก มีเพียงแสงสุดท้ายของวันที่ส่องผ่านช่องโหว่บนหลังคาและหน้าต่างที่ไม่มีกระจกเข้ามาเท่านั้น เฟอร์นิเจอร์มีเพียงโต๊ะไม้เก่า ๆ ที่ขาโยกเยกหนึ่งตัวกับม้านั่งยาวอีกสองตัว แค่นั้น ไม่มีอะไรอีกแล้ว
บ้านทั้งหลังมีเพียงสองห้องนอนเล็ก ๆ ห้องหนึ่งคือห้องที่ลู่เฟิงเคยนอนกับน้องชาย ส่วนอีกห้องเป็นของลู่หลิง แต่ทั้งสองห้องก็มีเพียงเตียงไม้กระดานแข็ง ๆ ที่ปูด้วยฟางแห้งบาง ๆ กับผ้าห่มเก่าขาด ไม่มีแม้แต่ตู้เสื้อผ้าหรือของใช้อื่นใด นี่ไม่ใช่ความยากจน แต่มันคือความสิ้นไร้ไม้ตอก
“คืนนี้ เธอจะนอนที่ไหน?” เสียงทุ้มต่ำของลู่เฟิงดังขึ้นจากด้านหลัง ปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ มันคือคำถามที่สำคัญที่สุดในคืนนี้ คืนเข้าหอ แม้จะเป็นการแต่งงานในนาม แต่ตามธรรมเนียมแล้ว พวกเขาคือสามีภรรยาที่ต้องนอนร่วมห้องกัน สายตาของลู่เฟิงที่มองมานั้นซับซ้อนและอ่านไม่ออก สวี่จิ้งอีหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาและเด็ก ๆ ทั้งสองที่แอบมองอยู่ข้างหลัง เธอมองไปยังห้องนอนทั้งสองห้อง ก่อนจะตัดสินใจในเสี้ยววินาที
“ฉันยังไม่ได้ย้ายของมาจากกระท่อมจือชิง” เธอเริ่มพูดอย่างใจเย็น “แต่คืนนี้คงกลับไปนอนที่นั่นไม่ได้แล้ว” เธอหยุดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวประโยคที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง “ลู่หลิงกับลู่ซานยังเด็ก ควรจะได้นอนในที่ที่อุ่นสบายกว่านี้” เธอมองไปยังเด็กทั้งสอง “คืนนี้ ลู่หลิงย้ายไปนอนกับพี่ชายของเธอในห้องนั้นเถอะ ส่วนฉันจะขอนอนในห้องของลู่หลิงเอง”
ข้อเสนอนี้ทำให้ลู่เฟิงขมวดคิ้วมุ่น “ห้องนั้นเล็กเกินไป” เขาค้าน “เธอเพิ่งหายป่วยนะ”
“ฉันไม่เป็นไร” จิ้งอีตอบเรียบ ๆ “ฉันทนความหนาวได้ดีกว่าเด็ก ๆ”
แต่ลู่หลิงกลับส่ายหน้าอย่างรุนแรง น้ำตาไหลพราก “ไม่นะ หนูไม่ยอม!” เด็กหญิงพูดเสียงสั่น "หนู... หนูจะนอนกับพี่ใหญ่! ห้องนั้น... ห้องนั้นก็เป็นของหนู! หนูไม่ให้!"
เด็กน้อยวิ่งเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ของเธอกางแขนเล็ก ๆ ขวางประตูไว้ ราวกับลูกแมวที่กำลังพองขนขู่ศัตรู "นี่มันห้องของหนู!" เธอกระทืบเท้า "พี่ใหญ่สร้างเตียงนี้ให้หนู! หนูไม่ให้พี่สาว… หนูไม่ให้พี่สะใภ้นอน!"
มันคือการต่อต้านอย่างเปิดเผย คือการประกาศว่าเธอไม่ต้อนรับผู้บุกรุกคนนี้ บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที ลู่เฟิงกำลังจะเอ่ยปากดุน้องสาว
"ลู่หลิง! อย่าดื้อ!" แต่สวี่จิ้งอีกลับยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน เธอไม่ได้โกรธหรือเสียใจกับท่าทีของเด็กหญิงแม้แต่น้อย
“ได้สิ” เธอยิ้มบาง ๆ เป็นครั้งแรก “ห้องของใคร คนนั้นก็ต้องเป็นเจ้าของ และต้องดูแลรักษาความสะอาดให้ดี รู้หรือไม่”
เธอถือโอกาสสอนเด็กหญิงไปในตัว รอยยิ้มนั้นทำให้ลู่เฟิงสับสน จากนั้น เธอก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ บ้านอีกครั้ง ก่อนที่สายตาของเธอจะไปหยุดอยู่ที่ห้องเก็บฟืนและเครื่องมือเก่า ๆ ที่อยู่ติดกับตัวบ้าน มันเป็นเพียงเพิงเล็ก ๆ ที่สร้างต่อเติมออกมาจากตัวบ้าน มีแค่สามด้านที่เป็นผนังดิน อีกด้านหนึ่งเปิดโล่ง ไม่มีประตู พื้นเป็นดินเย็นเฉียบและเต็มไปด้วยกองฟืนกับหยากไย่ มันคือสถานที่ที่หนาวที่สุดและสกปรกที่สุดในบริเวณนี้ แม้แต่สุนัขจรจัดก็ยังเมิน แต่ตอนนี้มันจะเป็นที่พักของเธอ!!!
“ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ฉันขอนอนที่นั่นก็แล้วกัน” เธอชี้ไปยังห้องเก็บฟืน
คราวนี้ไม่ใช่แค่ลู่หลิงและลู่ซาน แต่แม้แต่ลู่เฟิงก็ยังต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง!
“เธอจะบ้าเหรอ!” เขาโพล่งออกมาอย่างลืมตัว “ที่นั่นมันไม่ใช่ที่ที่คนจะนอนได้! กลางดึกอากาศจะลดต่ำลงจนเป็นน้ำแข็งได้เลยนะ เธอจะหนาวตายเอา!”
“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่เป็นไร” จิ้งอียังคงยืนยันคำเดิมด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง “ฉันแค่ต้องการที่ซุกหัวนอนคืนนี้เท่านั้น พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
เธอไม่ได้กำลังประชดประชันหรือเรียกร้องความสนใจ การกระทำของเธอมาจากการคำนวณที่เยือกเย็น เธอรู้ดีว่าการจะทลายกำแพงในใจของเด็ก ๆ และชายคนนี้ได้ เธอต้องแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้มาเพื่อแย่งชิง แต่มาเพื่อให้ เธอต้องแสดงให้เห็นว่าเธอสามารถเสียสละได้แม้กระทั่งความสะดวกสบายพื้นฐานที่สุดของตัวเอง เธอเหลือบมองเด็กสองคนที่ยังคงยืนเกาะกลุ่มกันแน่น
ลู่ซาน (พี่ชาย) ยังคงจ้องเธอเขม็ง พยายามทำท่าทางดุร้ายเพื่อปกป้องอาณาเขต แม้ว่าท้องของเขาจะเพิ่งเต็มอิ่มด้วยซาลาเปาของเธอก็ตาม ส่วนลู่หลิง (น้องสาว) แม้จะยังหวาดกลัว แต่สายตาของเธอกลับเผลอมองไปที่แขนเสื้อของสวี่จิ้งอี ราวกับกำลังสงสัยว่าจะมีซาลาเปาโผล่ออกมาจากรักแร้พี่คนสวยอีกไหม เด็กน้อยยังจำรสชาติที่เหมือนฝันนั้นได้ สวี่จิ้งอีเห็นสายตานั้น และเธอก็รู้ว่าจุดอ่อนของป้อมปราการน้อย ๆ สองอันว่านี้อยู่ที่ไหน
“ฉันตัดสินใจแล้ว” เธอกล่าวตัดบท เธอหันหลัง เดินตรงไปยังกระท่อมจือชิง “ฉันจะไปเก็บของใช้ส่วนตัวของฉันมาก่อน”
เธอเดินไปได้สองก้าวก็หยุดกึก “อ้อ!!”
เธอหันกลับมา แสงยามเย็นที่ส่องมาจากด้านหลัง ทำให้ร่างผอมบางของเธอดูสูงใหญ่ขึ้นและดูอบอุ่นมากขึ้น เธอมองไปที่ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือและผอมแห้งของเด็กน้อยทั้งสอง ที่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเธอหันกลับมา ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทรงพลังยิ่งกว่าการเสียสละใด ๆ
“คืนนี้ ไม่ต้องทำอาหาร”
ลู่เฟิงขมวดคิ้ว ลู่ซานทำหน้าสับสน ปกติพวกเขาก็แทบไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว
“ฉันจะเอามาเอง” สวี่จิ้งอียกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แววตาของเธอฉายแววรู้ทัน “พวกเราจะฉลองงานแต่งงานของเรา”
ฉลองงานแต่งงาน! คำนี้สำหรับเด็กสองคน มันหมายถึงอาหารดี ๆ ท้องของลู่ซานที่เพิ่งอิ่ม ดันร้องขึ้นมาเบา ๆ อย่างน่าอาย ลู่หลิงที่กำลังหลบอยู่หลังพี่ชายเผลอเลียริมฝีปาก ความหวาดระแวงยังคงอยู่ แต่ความคาดหวัง มันส่องประกายในดวงตาทั้งสองคู่ สวี่จิ้งอีเห็นท่าทางนั้นของเด็กน้อยทั้งสอง เธอจะเอาของกินเข้าสู้เด็ก ๆ อีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ซาลาเปา แต่มันคืองานเลี้ยง นี่คือการประกาศว่าการมาของเธอไม่ได้แปลว่าการแย่งชิง แต่คือการนำมาซึ่งการให้ การแบ่งปันช่วยเหลืออย่างแท้จริง ให้เด็ก ๆ ได้รับรู้ว่าเมื่อมีเธอ พวกเขาจะไม่หนาวเหน็บหรือหิวโหยอีกต่อไป
****ไม่อยากจะให้พี่สะใภ้นอนห้อง แต่ก็แอบมองไปที่รักแร้พี่สะใภ้บ่อย ๆ นะเจ้าตัวเล็ก****
