ตอนที่4.ดึกแล้วน้ำค้างแรงนัก
“อ้าว” มือน้อยๆ ของนางยกขึ้นเกาศีรษะอย่างงุนงง
“แล้วเจ้ามายืนคนเดียวที่นี่ทำไมตั้งนาน ดึกแล้วน้ำค้างแรงนัก”
“อ่อ” นางพยักหน้าอย่างนึกได้แล้วเพิ่งรู้สึกว่าน้ำค้างแตะไหล่จนซึมทะลุผ่านเสื้อเนื้อหยาบที่สวมอยู่ มือเล็กปัดหยดน้ำที่บ่าแล้วบ่นพึมพำ
“ข้ามีเสื้อผ้าไม่เยอะเสียด้วยซิ ซักบ่อยจะเปื่อยเอาเสียก่อน”
คิ้วเข้มของเขาขมวดยุ่งและฮึดฮัดกับท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับโชคชะตาของตนเอง จ้าวจิ่นสือยอมรับว่าสงสารนาง เขาบังเอิญได้ยินบิดาและมารดาสนทนากันเรื่องเคอหลิ่งหลิน ชีวิตนางน่าสงสาร ถ้าบิดาของนางไม่สละชีวิตของตนเองปกป้องบิดาของเขาแล้ว คงเป็นเขาเองนั้นแหละที่จะเป็นกำพร้า เช่นนั้นแล้วการที่บิดาของเขาจะรับนางเป็นบุตรบุณธรรมจึงเป็นเรื่องที่สมควรอยู่ ปัญหาอยู่ที่นางไม่อยากอยู่ที่นี่แต่นางเองก็ไม่มีที่จะไป
“ถ้าเจ้าเป็นคนสกุลจ้าวเมื่อไหร่ อยากได้เสื้อผ้ามากแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา”
เด็กหญิงเอียงคอฟังอีกฝ่ายแล้วทำหน้าฉงนในสิ่งที่ได้ยิน นั้นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มหงุดหงิด
“เสื้อผ้าข้ามีพออยู่แล้ว เพียงแค่ข้าขี้เกียจซักน่ะ”
“ถ้าเจ้าเป็นคนสกุลจ้าวเมื่อไหร่ เสื้อผ้าก็ไม่ต้องซักเอง” นางช่างทึ่มนัก นี่นะหรือเด็กสาวแสนชาญฉลาดที่บิดาเขากล่าวชมอยู่เสมอ “นอกจากเสื้อผ้าแล้วก็ยังมีอาหารการกิน เจ้าชอบกินหมั่นโถวไม่ใช่เรอะ”
“จริงเหรอ ข้าจะได้กินหมั่นโถวด้วยเหรอ”
โธ่! เรื่องกินนี่เรื่องใหญ่จริง
“ใช่...จะกินเท่าไหร่ก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ด้วย ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่นะ”
“ข้าอยู่ที่นี่ได้จริงๆ เหรอ” เด็กสาวถามอย่างไม่มั่นใจ
“ได้ซิ ท่านพ่อกับท่านแม่ก็อยากให้เจ้าอยู่ที่นี่”
“แล้วเจ้าล่ะ?”
“ข้า?”
“อืม...ข้าก็ชอบที่นี่นะ มีที่ซุกหัวนอน มีของอร่อยให้กิน แต่ข้าไม่อยากเป็นคนรับใช้นี่”
“ใครจะให้เจ้าเป็นคนรับใช้กันเล่า”
“แล้วจะให้ข้าอยู่ที่นี่ทำอะไรล่ะ” นางยังเกาศีรษะน้อยๆอย่างไม่เข้าใจ
“ก็มาเป็นพี่น้องกับข้าไง” จ้าวจิ่นสือพูดอย่างหมดความอดทน
“ห๋า!” นางร้องเสียงดังอย่างตกใจ
“ใช่! ไม่ดีหรือไง!”
“ก็...ถ้าข้าเป็นน้องของเจ้า เจ้าก็ต้องข่มเหงข้านะซิ”
เด็กหนุ่มตบหน้าผากตัวเอง นางโง่และทึ่มอย่างที่สุดแต่เขาก็สงสารนาง ยิ่งเห็นนางยืนเหม่อลำพังก็รู้ดีว่านางต้องเหงาและทุกข์ใจมากเพียงใด
“ถ้าเช่นนั้นข้าให้เจ้าเป็นพี่สาวของข้าก็ได้ เจ้าจะได้เลิกกังวลว่าจะมีใครรังแกเจ้ารวมทั้งข้าด้วย”
ใบหน้าเด็กสาวค่อยๆ ระบายยิ้มและยังเป็นยิ้มกว้างจนจ้าวจิ่นสือขมวดคิ้วก่อนจะร้องออกมา
“เจ้าแกล้งข้าใช่ไหม! หลิ่งหลิน!”
“บุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ เจ้ายกตำแหน่งพี่สาวให้ข้าแล้ว ข้าย่อมยินดีรับไว้ด้วยความเต็มใจ”
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แววตาที่เป็นประกายนั้นยืนยันว่านางได้ชัยชนะในครั้งนี้แล้ว
จากชีวิตที่ไร้พี่น้องมาสิบสี่ปี มาบัดนี้นางมีน้องชายตัวโตแถมอายุห่างกันเพียงห้าเดือนเท่านั้น เช้าวันต่อมานางจึงได้อยู่จวนแม่ทัพในฐานะบุตรบุญธรรม แต่กระนั้นนางมักบอกผู้อื่นด้วยนามสกุลเดิมของบิดาเสมอ นางได้มีที่ซุกหัวนอนแถมยังเป็นที่นอนอุ่นๆ อาหารการกินไม่อดยากและยังได้ร่ำเรียนหนังสือด้วย ผิดก็ตรงที่นางไม่อาจเป็นกุลสตรีอย่างที่จ้าวฮูหยินคาดหวัง เพราะนางแก่นแก้วซุกซนนัก ให้นางฝึกกระบี่ยังก้าวหน้ากว่าเขียนภาพ เล่นดนตรี เดินหมาก หรือร่ายรำเสียอีก
เคอหลิ่งหลินหัวเราะให้กับความคิดคำนึงของตัวเอง นางติดตามแม่ทัพจ้าวออกรบหลายครั้ง แม้นางเป็นเด็กแต่เรื่องพื้นที่การแกะรอยนั้นแม่นยำนัก รวมทั้งจ้าวจิ่นสือที่บิดาฝึกให้เรียนรู้กลศึกต่างๆ นางเองคอยติดตามเขาเสมือนเงาไปอย่างไม่รู้ตัว
หญิงสาวมองดูผู้คนที่ทยอยเข้าไปในจวนแม่ทัพหมดแล้วก็ลงจากหลังม้า ส่งม้าให้เด็กรับใช้นำม้าไปเก็บแล้วเดินไปที่ห้องพักของตนเอง ชุนเอ๋อร์เห็นผู้เป็นนายกลับมาแล้วก็รีบเข้าไปช่วยปลดผ้าคลุมไหล่ที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินออก
“คุณชายจิ่นสือให้บ่าวเตรียมน้ำอุ่นให้คุณหนู บ่าวชะเง้อมองจนคอแทบเคล็ดไม่เห็นคุณหนูมาเสียที นึกว่าท่านหลงทางกลับบ้านไม่ถูกเสียแล้ว”
