ตอนที่20.ก็เป็นสุขดีไม่น้อย
สภาพครึ่งผีครึ่งคนอย่างเขาความจริงก็เป็นสุขดีไม่น้อย ไม่นับอาการอ่อนเพลียของตนเองแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี บรรดาน้องชายน้องสาวก็ให้ความเคารพเขาตามสมควร มีเพียงสองเรื่องที่มารบกวนจิตใจของเขาคือการที่เขายังไม่แต่งงานและความวุ่นวายเดียวที่เขารับได้คือ ‘เคอหลิ่งหลิน’ นางชอบเขาอย่างเปิดเผยทว่าจริงใจ หน้าตานางออกจะธรรมดา นิสัยยังโผงผางหรือบางครั้งก็เหมือนเด็กทั้งที่นางบอกว่าตัวเองอายุยี่สิบแล้ว
นางไม่เคยถามว่าเขาเป็นใคร นางพอใจกับการเรียกเขาว่า ‘คุณชายเฉิน’ เขาจึงพึ่งพอใจที่จะเรียกนางว่า ‘แม่นางเคอ’ และเมื่อนางไม่ถามเรื่องส่วนตัวของเขา เขาก็ไม่ถามเรื่องของนาง รับรู้เพียงแค่นางชอบม้าและดูแลม้าอยู่จวนแม่ทัพจ้าว นางมักพกกระบี่ไม้ไผ่เสมอแต่ก็ไม่เคยเห็นนางใช้ทำร้ายผู้ใด
“แม่นางเคอ”
“หือ?” นางเงยหน้าขึ้นมองเขาขณะที่สองมือยังประคองแขนให้เขาเดินไปข้างหน้า
“ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเจ้าอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลาเลยล่ะ เจ้าได้กลับไปจวนแม่ทัพบ้างหรือไม่”
“แน่นอน ข้าต้องกลับอยู่แล้ว” นางไม่ได้โกหก หากไม่เพราะนางมีวิชาตัวเบาละก็ นางคงไม่ได้มาหาเขาบ่อยขนาดนี้หรอก เพราะจวนแม่ทัพจ้าวกับบ้านสกุลเหวินอยู่กับคนละมุมเมืองเลยทีเดียว
“ข้าเกรงเจ้าจะเหนื่อย”
“ข้าแข็งแรงไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก” นางหัวเราะเสียงใส อบอุ่นใจที่เขาเป็นห่วงนาง เพิ่งรู้ว่าการที่นางอยู่ข้างกายเขามีประโยชน์อยู่บ้าง ดูเขายังไม่ชินกับสายตาที่เริ่มหม่นลงไปเรื่อยๆ นางเฝ้าภาวนาให้ต้าซื่อกลับมาพร้อมยารักษา นางอยากเห็นดวงตาอ่อนโยนของเขาอีกครั้ง
“เจ้าอยู่จวนแม่ทัพจ้าวสบายดีหรือไม่”
“อืม...สบายดี” นางตอบตามตรง “ท่านถามทำไมรึ”
“เอ่อ...ถ้าข้าหายดี เจ้ามาอยู่กับข้าไหม?”
คำถามนั่นทำให้นางนิ่งไปอึดใจก่อนจะเอ่ยออกมาราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน
“มาอยู่กับท่าน?” นางขมวดคิ้ว “บ่าวไพร่ท่านไม่พอใช้เหรอ”
“ไยเจ้าถามข้าเช่นนั้นเล่า” คราวนี้เป็นเขาที่ขมวดคิ้ว
“อ้าว ก็ท่านจะให้ข้าไปอยู่ด้วย ถ้าไม่เป็นบ่าวไพร่ จะเอาข้าไปทำอะไรล่ะ”
นางทำหน้างุนงง และอีกฝ่ายก็หัวเราะเบาๆ ใช่เขาอยากให้นางมาอยู่ด้วย แต่ไม่ได้ให้นางมาเป็นบ่าวไพร่ เขาเพียงแค่อยากตอบแทนน้ำใจนางที่ดูแลเขายามดวงตาใกล้มืดบอดเช่นนี้
“ท่านอย่าได้กังวล ข้าช่วยท่านเพราะท่านเป็นคนดี ท่านไม่ดูถูกดูแคลนข้า ข้าก็ตอบแทนท่านได้เพียงเท่านี้”
เขานิ่งไปอึดใจ การนิ่งงันไปของเขาทำให้หญิงสาวหันมามองก่อนจะยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่อีกไม่นานเขาก็จะมองไม่เห็นแล้ว
“ท่านจะคิดอะไรมากเล่า ท่านถือข้าเป็นสหาย สหายก็ต้องดูแลกันซิ”
“สหาย? ข้าก็เห็นเจ้าเป็นสหายมานานแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น...” นางยิ้มแล้วชี้นิ้วที่ตัวเอง “เรียกข้าว่าหลิ่งหลินด้วยซิ เลิกเรียกแม่นางเคอเถอะ”
“ได้ซิ หลิ่งหลิน”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างพอใจแล้วพาเขาเดินกลับเข้ามาด้านใน แม่นมเหมยรีบเดินเข้ามาประคองให้นายนั่งที่เก้าอี้
“เจ้าลองคิดเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่อีกครั้งเถิดนะ” เขาเอ่ยย้ำเผื่อนางจะเปลี่ยนใจ
“ท่านแม่ทัพมีพระคุณกับข้ามาก ข้าไม่คิดจะไปจากบ้านตระกูลจ้าว” นางพูดตามจริง
“แม้แต่ออกเรือนเจ้าก็ไม่คิดรึ?”
“แต่งงานนะเหรอ” คราวนี้เคอหลิ่งหลินถึงกับหัวเราะงอหงาย ขนาดแม่นมเหมยยังประหลาดใจกับท่าทางของนาง
“ข้าอายุยี่สิบแล้ว เลิกคิดเรื่องออกเรือนไปนานแล้ว”
ถึงจะถูกพ่อแม่บุญธรรมพูดกรอกหูอยู่เสมอให้นางแต่งงาน แต่ชีวิตนางอยู่ในสนามรบตั้งแต่เล็กแต่น้อย จะให้เอาใจบุรุษเช่นกุลสตรีพึ่งกระทำนั้นยิ่งเป็นเรื่องยากยิ่งนัก ไหนจะเรื่องที่นางประกาศไว้อีกว่าจะให้น้องชายตัวดีแต่งงานก่อน ป่านนี้จ้าว จิ่นสือก็ยังไม่เห็นมีแววจะไปทาบทามสาวบ้านไหนเลย
อาการหัวเราะจนน้ำตาเล็ดของเคอหลิ่งหลินทำให้ชายหนุ่มถึงกับทำอะไรไม่ถูก นางช่างแตกต่างจากหญิงทั่วไปจริงๆ
“เอาล่ะๆ อย่างไรข้าต้องขอขอบคุณน้ำใจของท่านมาก เอาเป็นว่าข้าไม่คิดไปจากจวนแม่ทัพจ้าว แล้วท่านก็ดื่มยาที่ท่านหมอมู่จัดให้ครบก็แล้วกัน อีกไม่กี่วันต้าซื่อกลับมา ท่านหายดีก็จะได้กลับเมืองหลวงตามเดิม”
ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะเอ่ยปากแต่กลับนิ่งไป อาการนิ่งขรึมเป็นท่าทีประจำของคุณชายเฉินที่เคอหลิ่งหลินคุ้นชินแล้ว นางไม่เห็นเป็นความผิดปกติใด นางก้มศีรษะให้แม่นมเหมยและเอ่ยลาคุณชายแล้วกระโดดแผ่วออกไปอย่างรวดเร็วอย่างที่นางทำเป็นประจำ
“เป็นอะไรไปรึเจ้าคะ” แม่นมถามอย่างรู้สึกถึงบางสิ่งที่รบกวนคุณชายของนางอยู่
“นางเป็นคนดี”
“เจ้าค่ะ ถึงจะโผงผางไม่สมเป็นกุลสตรี กิริยามารยาทก็ราวกับหญิงสาวไร้การศึกษา”
