ตอนที่19.คนเป็นพ่อได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง
แต่ถ้านับฝีมือการตรวจรักษาของนางแล้ว นางคือลูกศิษย์ที่เขาภูมิใจนัก เพียงหกเจ็ดขวบนางก็ท่องสูตรยารักษาโรคทั่วไปได้ สิบขวบก็ฝังเข็มเป็น เขาไว้ใจขนาดยอมให้ใช้ตัวเองเป็นหุ่นให้นางฝังเข็ม นอกจากนี้เรื่องอาหารการกิน นางก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะนางเป็นที่เอ็นดูของผู้อื่น ยามที่เขารักษาคน บางครั้งนางก็ไปเข้าครัว หัดทำกับข้าวกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง นำอาหารมาให้เขากินครบสามมื้อ ดูแลเขาไม่ขาดตกบกพร่อง เสื้อผ้าที่เขาสวม นางก็ล้วนซักและปะชุนให้เรียบร้อย ไม่ต้องอับอายว่าใส่เสื้อผ้าเก่า ไม่รวมเรื่องเงินทองรายได้อันน้อยนิดที่นางจัดการได้อย่างดี ไม่เคยได้อดอยากกันนัก เขาต่างหากที่จะพานางลำบากเพราะมักใจอ่อนไม่ค่อยเก็บเงินค่ารักษา แถมถ้ายากจนมาก็แถมเงินให้นิดหน่อย ถ้านางรู้เห็นก็แอบค่อนว่าเขา แต่ก็มิได้ห้ามอะไร
คนเป็นพ่อได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง แม้จะมีรูปร่างหน้าตาสะสวยเพียงไร แต่สิ่งที่สำคัญและได้รับการยกย่องเสียยิ่งกว่าความงามภายนอกก็คือหญิงสาวผู้ทรงไว้ซึ่ง สามเชื่อฟัง สี่คุณธรรม สามเชื่อฟังนั้นได้แก่ ก่อนแต่งให้เชื่อฟังบิดา หลังแต่งให้เชื่อฟังสามี และเมื่อสามีตายจากก็ให้เชื่อฟังลูกชาย ถือเป็นแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ของผู้หญิงในสมัยก่อน ทั้งชีวิตทำเพื่อคนอื่นและอยู่เพื่อคนอื่น
แต่ดูเหมือนว่าเขาเป็นบิดาที่อยู่ในโอวาทของบุตรสาวเสียแล้ว
มู่ฟางเหนียงเห็นท่านพ่อนิ่งงันไป โทสะที่คุกรุ่นเมื่อครู่ก็เริ่มสงบลง เอาเถิด คนผู้นั้นถือตนว่ายศศักดิ์สูงกว่านางซึ่งเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา ซ้ำยังเป็นหมอหญิงที่ไร้เกียรติ มิควรค่าแก่การเคารพนับถือแล้ว นางจะขุ่นเคืองใจให้ร่างกายทรุดโทรมไปไย ดีแล้ว...มันย่อมเป็นการดีเสียอีก เพราะนางจะได้มีเวลาพลิกหน้ากระดาษอ่านทวนซ้ำสักรอบสองรอบ เขาจะเอาคืนเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น นางก็พร้อมจะคืนของที่มิใช่ของตัวเองให้ หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินไปประจบบิดาที่นิ่งงันไปราวกับก้อนหิน
“หลายวันมานี้ลูกไม่ได้ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรกับท่าน เดี๋ยวลูกจะทำบะหมี่อร่อยๆ ให้ท่านพ่อกินก็แล้วกันนะ”
“เจ้าทำอะไรมาพ่อก็กินทั้งนั้นแหละ” เป็นประโยคที่พูดจนติดปาก หมอมู่หยางซัวยกมือลูบศีรษะเบาๆ “ว่าแต่เมื่อครู่ มิใช่คนมาจากจวนแม่ทัพจ้าวหรอกหรือ?”
“ใช่เจ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับ “แต่ไม่มีอะไรหรอก เอ่อ...แค่มาส่งข่าวเท่านั้น”
“นึกว่าแม่นางเคอฟื้นแล้ว” ผู้เป็นพ่อพึมพำ “พ่อว่าอีกไม่กี่วันเคอหลิ่งหลินคงจะฟื้นแล้วละ การหลับเป็นการฟื้นฟูร่างกายที่ดีอย่างหนึ่ง”
“ลูกติดตามท่านพ่อมานาน ยังไม่เคยเห็นผู้ใดหลับนานนับเดือนขนาดนี้”
“อาการเจ็บป่วยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผู้อารักขาของคุณชายเฉินที่ไปค้นหาไข่มุกหมื่นราตรีมิได้ถูกพิษจากเปลือกหอย แต่เพราะร่างกายถูกทำร้ายจากผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง พ่อดูรอยฝ่ามือของเคอหลิ่งหลินแล้ว เป็นรอยฝ่ามือเดียวกับที่ผู้อารักขาผู้นั้นได้รับ เขาจึงบาดเจ็บบอบช้ำรักษาได้โดยง่าย แต่เคอหลิ่งหลินถูกพิษ แม้ถูกขับออกก็เพราะฝ่ามือทรงพลังนั้น แต่ก็ทำให้ร่างกายทั้งบอบช้ำและมีพิษหลงเหลืออยู่ นางต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าปกติ”
“แต่ฝ่ามือนั้นทำให้นาง...สูญเสียกำลังภายใน” หญิงสาวหยุดคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “คนเป็นวรยุทธ์ ใช้กำลังภายในมิได้ ลูกเคยได้ยินว่าบางคนยอมตายแต่ไม่ขออยู่เยี่ยงคนพิการ”
“มือเท้านางก็ยังอยู่ดีมิใช่รึ” มู่หยางซัวถอนหายใจเบาๆ ก่อนคลี่ยิ้มออกมา “เจ้าคิดหรือว่าอย่างเคอหลิ่งหลินจะทำร้ายตัวเอง นางซุกซนสมเป็นพี่สาวเจ้า เรื่องแค่นี้นางคงไม่คิดสั้นเช่นนั้นหรอก”
หญิงสาวได้ฟังตามนั้นแล้วก็เผลอหัวเราะออกมา
จริงด้วย ‘พี่สาว’ ของนางเป็นคนมองโลกในแง่ดี แค่ไม่มีวรยุทธ์แต่ก็ยังมีสองมือสองเท้า นางคงไม่ทำร้ายตัวเองหรือคิดสั้นแบบนั้นแน่ๆ นางยิ้มน้อยๆ ออกมาแล้วขอตัวเข้าครัวจัดเตรียมอาหารกลางวันของคนทั้งสอง ปกติท่านพ่อมักกินง่ายอยู่ง่าย นางต้องคอยฝึกปรือฝีมือทำอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพของท่าน แม้จะเป็นอาหารง่ายๆ ตามประสาคนเบี้ยน้อย ครู่ต่อมานางก็ยกชามบะหมี่หอมกรุ่นมาให้บิดาและตัวนางเองด้วย
