บทที่ 1 ภารกิจ
ใช้เวลาถึงสิบวันหญิงสาวก็เดินทางมาถึงเมืองเหอเถียนด้วยสภาพคล้ายกับกำลังอพยพหนีตาย ชุดสีขาวสะอาดของนางบัดนี้กลายเป็นสีเหลืองน้ำตาลที่เกิดจากฝุ่นที่พบเจอระหว่างทาง ทว่าความย่อท้อกลับไม่ปรากฏในแววตาของนางสักนิด
หลังจากรู้ว่ากลุ่มโจรที่นางตามสืบข่าวนี้เป็นโจรที่ชาวบ้านล่ำลือว่าไม่ธรรมดา นางก็เริ่มมีความมั่นใจในการทำภารกิจมากขึ้น
ไม่ใช่ว่านางอยากทำภารกิจเสี่ยงตายอะไรทั้งนั้น อย่างที่บอก หากเภทภัยที่นางกำลังตามสืบนี้เป็นฝีมือของคนธรรมดา นางกลัวพลาดพลั้งสังหารคนเท่านั้นเอง แต่เท่าที่สืบข่าวมาตลอดทาง ตั้งแต่เมืองซาเป่ย เมืองหู่ต้า และเมืองเหอเถียน ชาวบ้านต่างพูดเสียงเดียวกันว่าหญิงสาวที่หายตัวไปนั้นอาจถูกฆ่าตายแล้ว!
เช่นนั้นข่าวลือที่ว่าหัวหน้าโจรดื่มเลือดสดๆ ก็อาจเป็นความจริง นั่นหมายความว่าหากนางพลั้งมือสังหารก็คงไม่ผิดบาปอะไรมากกระมัง...
ไป๋หลันเดินบนถนนสายหลักของเมืองเหอเถียนพลางมองสำรวจเมืองไปด้วย
เมืองเหอเถียนเป็นหนึ่งในสามเมืองหลักในเขตพื้นที่ตะวันตก ดังนั้นที่แห่งนี้จึงมีคนต่างแคว้นเข้ามาทำการค้ามากที่สุด
“ถือว่าเจริญยิ่งนัก แต่น่าเสียดายกลับมีสตรีหายไปรายวัน” หญิงสาวพึมพำ เท้าก็ขยับเดินไปข้างหน้า
ตอนนั้นเอง เสียงตะโกนด้วยความตกใจของชายผู้หนึ่งดังขึ้น และตามมาด้วยเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่ ผู้คนที่เดินบนท้องถนนเบียดตัวหลบสองข้างทางอย่างชุลมุนวุ่นวาย
“ระวังม้าพยศ! หลบไป หลบไป!”
ม้าพยศ? บนถนนเมืองใหญ่นี่นะ หญิงสาวคิดพลางขยับถอย ทว่าความเป็นห่วงชาวบ้านซึ่งเป็นพื้นฐานนิสัยของนางกลับแล่นขึ้นมาจุกในอก
ไม่ดีแน่! หากปล่อยม้าพยศวิ่งในเมืองเช่นนี้ มีหวังม้าวิ่งเหยียบชาวบ้านตายเสียก่อน!
ไป๋หลันคิดแล้วก็เพ่งตามองม้าป่าแดงตัวใหญ่ห่อตะบึงบนถนนกว้างด้วยความเร็วสูง มีชายหนุ่มร่างบึกบึนวิ่งไล่ตามมา ขณะวิ่งเขาจะตะโกนบอกให้ชาวบ้านหลบ กระทั่งม้าพยศวิ่งมาเกือบถึงตัวนางนั่นแหละ เสียงของเขายิ่งดังขึ้นไปอีก
“แม่นางคนงาม หลบไปเร็วเข้า!”
หากทว่านางไม่หลบ ตอนม้าวิ่งมาถึงตรงหน้านางนั้น นางเอื้อมมือออกไปคว้าจับบังเหียนในชั่วอึดใจ ใช้จังหวะเดียวกันนั้นตวัดตัวขึ้นหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่าที่มีมาแต่กำเนิด ก่อนจะรั้งบังเหียนให้ม้าป่าสงบลง แล้วก้มตัวตบๆ ลูบๆ กล่อมให้มันหยุดพยศ
หญิงสาวปลอบม้าป่าแดงไม่นานมันก็หยุดฝีเท้าลงและไม่วิ่งอีก แต่ส่งเสียงฟืดฟาดและย่ำเท้าไปมา ราวกับไม่ค่อยพอใจนางมากนัก
ไม่นาน ชายร่างบึกบึนผู้นั้นก็วิ่งมาถึง เขามองนางหนึ่งตลบ แล้วมองม้าป่าแดงอีกหนึ่งตลบ ก่อนจะรีบบอกนางว่า
“อา... แม่นางคนงาม ขอบใจเจ้ามาก” เขาพูดพลางเท้าเอวและหอบแฮก “ข้าเพิ่งเคยพบคนงามบังคับม้าพยศเป็นครั้งแรก เลื่อมใสๆ”
ไป๋หลันกระโดนลงจากหลังม้า นางไม่ได้มีเจตนาจะแสดงฝีมือในที่ต่างถิ่นเพื่อตกเป็นจุดสนใจเช่นนี้หรอก ทว่าหากไม่มีใครหยุดม้าป่าแดงที่มีขาแข็งแรงตัวนี้ สำหรับชาวบ้านไร้ซึ่งวิชายุทธ์นับว่าอันตรายถึงชีวิต ส่วนนางเป็นคนเห็นเหตุการณ์อันซึ่งจะนำไปสู่การสูญเสีย แต่กลับนิ่งเฉยแล้วละก็ ถือว่าเป็นบาปมหันต์ เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ด้วยกันแล้ว สมองของนางสั่งให้นางกระโดนขึ้นหลังม้าและหยุดมันก็เท่านั้นเอง
“นี่ม้าของท่านหรือ ดูแลดีๆ ด้วย ม้าป่าแดงเป็นสายพันธุ์ที่พยศง่าย เหตุใดต้องจูงเดินกลางเมืองใหญ่เช่นนี้ อันตรายยิ่งนัก หากว่ามันวิ่งเหยียบคนเข้าเล่า ท่านรับผิดชอบไหวหรือ” นางถาม และบอกกล่าวในเชิงสั่งสอน ซึ่งดูเหมือนว่านิสัยเช่นนี้จะติดมาจากเจ้าสำนักอู๋เล่ยซิง
ชายหนุ่มร่างใหญ่ใช้ดวงตาสีแปลกของเขามองนางนิ่ง คนผู้นี้มีพื้นฐานร่างกายของชาวตะวันตก แต่ใบหน้ากลับมีส่วนคล้ายชาวฮั่น อีกทั้งตอนพูดเขาออกเสียงสำนวนฮั่นได้คล่องปาก นางจึงกล้าร่ายยาวเพราะไม่คิดว่าเขาจะฟังตามไม่ทัน... ว่าแต่ เขาจะมองนางไปถึงไหนกัน!
“มีอะไรติดหน้าข้าหรือ” เมื่อเก็บความสงสัยไม่อยู่นางถามพาซื่อ
ชายตรงหน้าไม่ตอบ แต่ถามกลับ
“แม่นางไม่ใช่คนที่นี่สินะ”
“ถูกต้อง”
“แล้วแม่นางมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ” เขายังคงถามนางต่อ
“ข้า...” ไป๋หลันเกือบจะเปิดปากบอกจุดประสงค์ในการมาเสียแล้ว หากทว่าก็ยั้งคำพูดไว้ได้ทัน “ขอโทษพี่ชาย ข้าไม่ควรพูดกับคนแปลกหน้ามากไปกว่านี้”
จะว่าไปแล้ว ท่าทางของเขาที่แสดงออกว่าสนใจนางก็มีพิรุธอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นหนึ่งในกองโจรทะเลทรายที่ชาวบ้านพูดถึง
“แม่นางเข้าใจผิดแล้ว” จู่ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้นราวกับรู้ว่านางกำลังคิดอะไร
ไป๋หลันหน้าแดงด้วยความเก้อเขิน จากนั้นทวนคำของเขาพร้อมถาม
“เข้าใจผิด? ท่านคิดว่าข้ากำลังคิดอะไร?”
“แม่นางกำลังคิดว่าข้าสนใจในตัวแม่นางใช่ไหม ไม่ๆ ข้าไม่ได้สนใจในตัวแม่นางเสียหน่อย” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา และนั่นก็ทำให้นางหน้าแดงยิ่งขึ้น “ข้าก็แค่คิดจะขอบคุณแม่นางที่ช่วยจับม้าพยศตัวนี้ก็เท่านั้นเอง จึงคิดจะเชิญแม่นางไปที่สำนักเสือขาวเพื่อตอบแทนบุญคุณ”
ได้ยินเขาพูดถึงสำนักเสือขาว ไป๋หลันรู้สึกได้ว่าแววตาของตนแสดงออกว่าสนใจ
ประเดี๋ยวก่อน สำนักเสือขาว? ใช่สำนักของเจ้าสำนักทัวป๋า
อู๋จี้แห่งดินแดนตะวันตกหรือไม่ ตอนอยู่ในสำนักซานเหลิ่งนางพอได้ยินเรื่องพรรคและเจ้าสำนักเหนือใต้ออกตกอยู่บ้าง จึงพอรู้ข้อมูลของสำนักเหล่านั้นคร่าวๆ รวมถึงสำนักเสือขาวนี้ด้วย เช่นนั้นชายคนนี้ก็ไม่ใช่โจรทะเลทราย แต่เป็นคนของสำนักเสือขาวสินะ
ทว่า... จะให้นางติดตามผู้ชายตั้งแต่ครั้งแรกที่พบก็ใช่เรื่อง
คิดแล้ว ไป๋หลันก็ปฏิเสธอย่างมีมารยาท
“ขอบคุณพี่ชาย แต่ข้าต้องขอปฏิเสธความหวังดีของท่านแล้วละ”
“เจ้าสำนักทัวป๋าเชียวนะ! แม่นางไม่อยากพบเจ้าสำนักจริงๆ หรือ” เขาถามย้ำด้วยน้ำเสียงคล้ายตกใจอยู่บ้าง
สำหรับไป๋หลัน นางมองว่าเขากำลังใช้คำถามนั้นมาหลอกล่อนาง ก็เหมือนกับเอาอมยิ้มมาล่อเด็กเล็กๆ ให้สนใจนั่นแหละ
ยอมรับอยู่บ้างว่านางสนใจ แต่การติดตามผู้ชายมันไม่ใช่สิ่งที่สตรีสำนักเต๋าพึงกระทำสักนิด
“พี่ชาย จะเป็นเจ้าสำนักทัวป๋าหรือฮ่องเต้ข้าก็ยังขอปฏิเสธ ข้าช่วยเหลือคนด้วยน้ำใจมิใช่ช่วยเหลือเพื่อหวังผลตอบแทน ขอบคุณน้ำใจของท่านมาก”
ชายหนุ่มมองนางด้วยดวงตาไหวระริก นางสัมผัสได้ แววตาของเขาแสดงออกว่าสนใจนางเป็นที่สุด หรือนางพูดอะไรผิดไป!
“แม่นางมาจากสำนักไหนหรือ” เขายังไม่ลดละ ต้องการชวนนางคุยให้ได้
“สำนักเต๋าแห่งเขาซานเหลิ่ง” ตอบไปแล้วนางก็อยากกัดปากตนเองเสียเหลือเกิน ไม่รู้ว่านางโง่หรือซื่อเกินไปที่ตอบเขาไปตามตรงแบบนี้
