บทนำ ขายบุตรสาว
บทนำ
ขายบุตรสาว
เจ้าสาวชนบท
“ทะ...ท่านพี่ข้าทำไม่ได้...จะให้ข้าขายถิงเอ๋อร์ได้อย่างไรกัน นั่นลูกสาวของข้าทั้งคนนะ ข้าอุ้มท้องกว่าเก้าเดือนคลอดนางออกมา เฝ้าเลี้ยงนางมาด้วยความรัก ต่อให้ยากดีมีจนข้าก็ทนขายบุตรสาวกินไม่ได้หรอก”
‘อิ่งเหยี่ยน’ หญิงวัยกลางคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำคลอไปด้วยหยาดน้ำใ2ส ใบหน้ากอปรไปด้วยริ้วรอยแห่งความเหนื่อยยากจนดูแก่กว่าวัย
นางยกหลังมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำใส หลังมือถูไถใบหน้าไปมาจนดวงตาบวมเป่ง หวาดหวั่นว่าสามีจะขายบุตรสาว เมื่อเขาเล่าว่ามีแม่สื่อมาติดต่อขอซื้อ ‘จางถิงถิง’ บุตรสาวคนโตไปเป็นเจ้าสาว เพื่อแต่งงานกับบุตรชายเจ้าของโรงเลี้ยงม้าขนาดใหญ่ในเมืองเทียนไท่
กว่าเก้าในสิบส่วน ตระกูลที่หาซื้อเจ้าสาวจากชนบทที่แสนห่างไกลมักมีอะไรบางอย่างแอบซ่อนอยู่ หรือไม่ก็เพราะเจ้าบ่าวขี้โรค พิการเดินไม่ได้ ตาบอด หรือมากที่สุดก็สติปัญญาต่ำเป็นที่อับอายจนหญิงสาวในเมืองรังเกียจไม่อยากแต่งงานด้วย
แล้วจะให้นางขายบุตรสาวให้ไปตกนรกได้อย่างไรกันเล่า ชีวิตของสตรีนั้นการแต่งงานหมายถึงชีวิตทั้งชีวิต จะทุกข์หรือสุขก็ขึ้นอยู่กับสามีและครอบครัวของสามี
“คิดดีๆ เถอะนะ อย่างน้อยถิงเอ๋อร์ก็จะได้ไปอยู่ในบ้านคนมีเงิน นางจะได้นอนในเรือนที่อบอุ่น มีถ่านก่อไฟให้ความร้อน มีนวมอุ่นๆ ห่อหุ้มกาย มีอาหารให้กินครบสามมื้อ ไม่ต้องมาอดๆ อยากๆ แย่งกันอยู่แย่งกันกินเฉกเช่นทุกวันนี้”
จางเพ่ยตงเอ่ยออกมาราวกับไม่รู้สึกรู้สา แต่ทว่าในลำคอนั้นตีบตันจนหูอื้อตาพร่า เขาเองก็รักบุตรสาวคนโตมากเช่นกัน แต่เพราะความจนบีบบังคับ ไม่ว่าจะขยันขันแข็งใช้หยาดเหงื่อแลกเงินมากเท่าไหร่กลับยิ่งจนลง ราวกับถูกโชคชะตากดทับไม่อาจเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าได้
ยิ่งบุตรชายคนที่ห้าถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับอาการป่วยกระเสาะกระแสะ การเงินที่แย่อยู่แล้วก็ยิ่งแย่ลงไปอีก ปัญหาถาโถมจนแทบไม่เหลือหนทางให้ก้าวเดิน
“แต่ว่าถิงเอ๋อร์ต้องเดินทางไปแต่งงานยังต่างเมือง หากคนพวกนั้นรังแกลูกของเรา เราคงช่วยอะไรถิงเอ๋อร์ไม่ได้แน่ๆ”
อิ่งเหยี่ยนยังคงส่ายหน้าอย่างไม่ยอม สองสามีภรรยาพูดคุยโต้เถียงกันอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ไม่ได้สังเกตเลยว่าบุตรสาวคนโตกลับมาที่กระท่อมหลังเล็กๆ นานแล้วจึงได้ยินสิ่งที่บิดามารดาพูดคุยกันทั้งหมด
จางถิงถิงแม้มีรูปงามแต่ยากจน ไร้ตระกูลหนุนนำ ไร้อำนาจ ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ นางรับจ้างทำงานจิปาถะอยู่ในครัวของภัตตาคารแห่งเมืองเป่ยเป่า
การที่หญิงสาวเลือกทำงานอยู่ในครัวที่ทั้งร้อนทั้งเหน็ดเหนื่อยนั้นก็เพราะไม่ต้องการให้ความงามของนางทำให้ภายในร้านอาหารวุ่นวาย เพราะก่อนหน้านี้เคยมีบุรุษพยายามโอ้โลมเกี้ยวพาราสีนาง บ้างก็มานั่งเฝ้าเกะกะภายในร้าน หนักที่สุดก็ทะเลาะชกต่อยกันเองเพื่อแย่งชิงนาง
จางถิงถิงอยู่ในวัยที่สมควรจะออกเรือนได้แล้วก็จริง แต่นางไม่ได้มีคนรักหรือชอบพอบุรุษคนใด ครึ่งปีก่อนคหบดีเฒ่าของเมืองเป่ยเป่าก็มาสู่ขอนางไปเป็นอนุภรรยา แต่ใคร ต่างก็รู้กันทั่วว่าตาเฒ่านี้มีรสนิยมชอบตบตีทำร้ายร่างกายภรรยายามร่วมหลับนอน บิดาของนางจึงปฏิเสธไปโดยไม่คิดจะถามความเห็นของบุตรสาว
เมื่อต้นปีก่อนคนจากหอนางโลมก็มาทาบทามให้จางถิงถิงไปเป็นหญิงคณิกา อีกทั้งยังเสนอว่าจะปั้นให้นางโดดเด่นเป็นอันดับหนึ่งยากที่ใครจะเทียบเคียง ทว่าบิดากลับปฏิเสธอย่างรวดเร็วอีกเช่นเคย
เรียกได้ว่าแม้จะยากจนข้นแค้นแต่ก็ไม่เคยคิดจะขายบุตรสาวกินเลยแม้แต่ครั้งเดียว
บิดามารดารักและปกป้องนางมาเป็นอย่างดี แต่ครั้งนี้บิดาเอนเอียงคิดจะขายนางให้เป็นเจ้าสาว คงเพราะระยะหลังขาข้างขวาของบิดาเดินเหินได้ไม่สะดวกด้วยประสบอุบัติเหตุระหว่างรับจ้างลากท่อนซุง ท่อนไม้กลิ้งมาทับฝ่าเท้าจนกระดูกแตกผิดรูป ทำให้ต้องเดินโยกตัวไม่อาจแบกหามของหนักได้อีกต่อไป
เวลานี้รายได้หายไปกว่าครึ่ง การกินอยู่ในครัวเรือนลำบากกว่าเดิมชนิดที่ในบางมื้อต้องนำหินแม่น้ำมาล้างแล้วผัดคลุกกับเกลือเพื่อกินแกล้มข้าวต้มประทังชีวิต
ที่หนักที่สุดก็เห็นจะเป็นอาการป่วยของน้องห้าที่ทรุดลงอย่างน่าเป็นห่วง เพราะยาที่รักษานั้นมีราคาแพงมาก เถ้าแก่เงินกู้ในตลาดไม่ยอมให้ครอบครัวของนางกู้ยืมเงินอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งยังขู่จะมายึดกระท่อมเล็กๆ หลังนี้ไป หากว่าไม่มีเงินไปจ่ายดอกเบี้ยที่มากกว่าเงินต้นถึงสิบเท่า
“แม่สื่อเสนอจะซื้อตัวข้าในราคาเท่าไหร่หรือเจ้าคะท่านพ่อ”
ในที่สุดถิงถิงเดินก็ออกไป ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบปราศจากความเสียใจ
“ถะ...ถิงเอ๋อร์”
บิดาถึงกับหน้าถอดสี แต่เมื่อเห็นสายตาที่ต้องการคำตอบของบุตรสาวจึงตอบออกไปว่า
“ระร้อยหะ...ห้าสิบตำลึงทอง”
“อะไรนะท่านพี่ หะ...เหตุใดพวกเขาจึงเสนอเงินมากมายถึงเพียงนี้!”
เป็นอิ่งเหยี่ยนที่อุทานออกมาเมื่อได้ยินจำนวนเงิน เพราะตอนที่พูดคุยกัน สามีไม่ได้บอกจำนวนเงินออกมา อีกอย่างนางไม่เคยได้ยินการซื้อตัวเจ้าสาวชนบทด้วยจำนวนเงินมากเท่านี้มาก่อนเลย
เมื่อสองปีก่อนบ้านสกุลว่านขายลูกสาวคนกลางให้ไปเป็นภรรยาของเถ้าแก่เขียงหมูด้วยจำนวนเงินยี่สิบตำลึงทอง นั่นก็นับว่ามากแล้ว
อีกทั้งยังโชคดีบุตรสาวคอยส่งเงินมาแสดงความกตัญญูต่อครอบครัวเดิมไม่ขาด บางทีก็จะนำเนื้อหมูมาฝากทำให้ครอบครัวเดิมมีโอกาสได้กินเนื้อซึ่งเป็นของราคาแพงอยู่เนืองๆ
อิ่งเหยี่ยนเห็นดังนั้นก็ไม่เคยนึกอิจฉา เพราะบุตรสาวคนกลางของสกุลว่านแม้จะสุขกายแต่หาได้สุขใจ นางไม่ต้องการให้บุตรสาวของนางต้องทุกข์ตรมเช่นนั้น
