
บทย่อ
เพราะต้องการหนีพ่อเลี้ยงจอมวายร้าย และต้องการตามหาตัวพี่ชายจอมแสบ ‘ลันตา’ จึงตกมาอยู่ในมือของ ‘นายหัวประกาศิต’ ผู้ชายซึ่งดูเหมือนชาวต่างชาติ ที่ยื่นข้อเสนอให้เธอไปเป็นนางบำเรอของเขาอย่างง่ายดายคืนแรกของการเดินทางไปยังเกาะส่วนตัวของเขา เธอตกเป็นผู้หญิงของเขาทันที เพียงเพราะความเข้าใจผิดว่าเธอคือ ‘หัวขโมย’ !!! แต่ที่ร้ายกาจไปกว่านั้นก็คือ นายหัวจอมเย็นชาได้ยื่นตำแหน่งนางบำเรอให้กับเธอ และเธอไม่สามารถปฏิเสธเขาได้!นายหัวประกาศิต ผู้มีแผลเป็นในหัวใจไม่คิดจริงจังกับผู้หญิงคนไหนอีก เพียงเพราะเคยถูกคนรักทรยศหักหลัง เขาจึงกลายเป็นคนเย็นชา แต่ทว่าพบลันตาเข้า หัวใจที่ตายด้านของเขากลับมีชีวิตชีวาขึ้นมา แต่ความรักที่กำลังงอกงามขึ้นมากลับถูกทำลายสิ้น เมื่อชายหนุ่มที่ดุยิ่งกว่าเสือพบว่า ผู้หญิงของเขากำลังแอบนอกใจ ที่สำคัญผู้ชายที่เป็นคู่กรณี คือบุคคลที่เขาเกลียดจนเข้าไส้!!!ความขัดแย้งอย่างรุนแรงกำลังเล่นงานเขา ทว่าประกาศิตต้องเลือกระหว่างสองความรู้สึก แต่เสือร้ายอย่างเขาจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่าย ๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน!!!
บทที่ 1 หนี้สิน (1)
ใต้ร่มเงาของต้นมะพร้าว หญิงสาวผู้มีวงหน้าหวานชวนมองไม่รู้จักเบื่อ ยืนมองมะพร้าวจำนวนหลายตันที่ถูกลำเลียงขึ้นบนรถบรรทุกคันใหญ่ด้วยความรู้สึกโล่งใจกึ่งปลาบปลื้มใจพักใหญ่
พอมะพร้าวที่เธอดูแลเองกับมือลำเลียงขึ้นรถหมดแล้วเธอจึงเดินมาหาพ่อค้าคนกลางรายใหม่ที่เพิ่งทำการซื้อขายเพื่อรับค่าตอบแทนจากผลผลิตที่เธอและครอบครัวทุ่มเทแรงกายแรงใจ ยึดเป็นอาชีพหลักเลี้ยงปากเลี้ยงท้องมาสองชั่วอายุคน
“ช่วงนี้มะพร้าวราคาดี ถ้ายังมีผลผลิตอีกก็โทรเรียกผมได้นะ”
พ่อค้าคนกลางเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางส่งธนบัตรให้กับลันตาซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าของสวนมะพร้าวเป็นค่าตอบแทน
“คงต้องรอสักพักแล้วล่ะเถ้าแก่ ถ้ามีมะพร้าวอีกหนูโทรไปเรียกแน่นอน” ลันตาบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพราะเงินค่าตอบแทนที่ได้รับในครั้งนี้ค่อนข้างเป็นกอบเป็นกำ พอที่จะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้เกือบสองเดือนเลยทีเดียว
“ไม่มีอะไรแล้ว ผมกลับก่อนนะ”
ลันตายิ้มให้พ่อค้าคนกลางพอเป็นมารยาท พอรถบรรทุกแล่นห่างออกไปจากสวนมะพร้าว เธอจึงกลับเข้ามาในบ้านหลังเก่าที่ยังทานลมแดดฝนได้เป็นอย่างดี ทว่าหญิงสาวต้องรีบวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาบนบ้าน เมื่อพบผู้เป็นแม่เป็นลมอยู่กับพื้นบ้าน
“แม่!!!!” ลันตาร้องเสียงหลง ก่อนประคองผู้เป็นแม่ไปนั่ง รีบหายาดมและพัดมาพัดให้
“แม่จ๊ะ แม่!” ลันตารู้สึกใจคอไม่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ทั้งนี้เป็นเพราะแม่ของเธอมีสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรง อีกทั้งมีโรคประจำตัวต้องหาหมอเป็นประจำนั่นเอง แล้วไหนยังต้องมาเครียดกับเรื่องพี่ชายตัวแสบที่หายหน้าหายตาไปจากบ้าน และไม่มีการติดต่อกลับมานานร่วมปี
“แม่จ๊ะ แม่ได้ยินลันตามั้ย” หญิงสาวเรียกซ้ำ เขย่าแขนมารดาเบา ๆ อีกครั้ง
พอชดช้อยผู้เป็นแม่ลืมตาขึ้นได้สติกลับคืนมาเท่านั้น ลันตาจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“เป็นไงบ้างจ๊ะแม่?” ลันตามองหน้ามารดาตาละห้อย น้ำตาคลอเบ้าด้วยความรักและห่วงใย
นางชดช้อย สตรีวัยห้าสิบเศษ ๆ ยังนอนนิ่งไม่ขยับตัว นางมีสีหน้าที่อ่อนอิดโรย และดวงตาคู่สวยแฝงความโศกเศร้านั้นไหวระริก ก่อนน้ำตาจะไหลมาคลอเบ้า
“แม่ร้องไห้ทำไมจ๊ะ?” ลันตาทำหน้าตกใจ
“แม่คิดถึงเจ้ารื่นเหลือเกิน ลันตา ไม่รู้ป่านนี้เจ้ารื่นเป็นอย่างไรบ้าง”
เพียงประโยคเดียวของมารดา ก็ทำให้ลันตารู้สึกอ่อนอกอ่อนใจขึ้นมาทันที
เจ้ารื่น หรือ รื่นฤทธิ์ คือพี่ชายของเธอ พี่ชายแท้ ๆ ที่ใช้ชีวิตต่างกับเธอราวฟ้ากับเหว!
รื่นฤทธิ์คือหัวแก้วหัวแหวนของครอบครัวเลยก็ว่าได้ ทั้งพ่อและแม่ต่างพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจพี่ชายของเธอจนออกนอกหน้า
หากรื่นฤทธิ์ต้องการอะไร เพียงแค่เอ่ยปากเท่านั้น ทั้งพ่อและแม่ก็จะหาสิ่งที่รื่นฤทธิ์ต้องการมาให้ทันที ซึ่งบางครั้งเธอเองก็แอบน้อยใจเช่นกัน ที่พ่อและแม่รักลูกไม่เท่ากัน
อาจเพราะเธอกับรื่นฤทธิ์อายุห่างกันหลายปีด้วยละมั้งเธอจึงดูเป็นเด็กในสายตาพ่อและแม่ ทั้งสองท่านจึงให้ความสนใจพี่ชายของเธอมากกว่า...
เท่าที่จำได้ พ่อแม่แทบไม่ใส่ใจเธอด้วยซ้ำและจากที่เคยได้ยินผู้ใหญ่คุยกัน เธอเป็นลูกหลงมานั่นเอง คงเพราะสาเหตุนี้ด้วยกระมังทุกคนในบ้านจึงพะเน้าพะนอแต่พี่ชายของเธอ
รื่นฤทธิ์เรียนหนังสือเก่ง สอบได้อันดับต้น ๆ ของห้องเป็นประจำ พ่อและแม่จึงซื้อของขวัญให้เป็นรางวัลเสมอ ส่วนเธอนั้นเรียนหนังสือไม่เก่ง จึงไม่เคยได้รับของขวัญใด ๆ เลยของเล่นประจำคือของเธอ กะลามะพร้าวจากในสวนที่เธอเก็บมาเล่นขายของเท่านั้น
ซึ่งเรื่องที่พี่ชายสอบได้อันดับต้น ๆ ของห้อง ทำให้เธอขยัน มุ่งมั่น ตั้งใจเรียนหนังสือมากขึ้น เพราะอยากได้ของขวัญอย่างพี่ชายบ้าง แต่เอาเข้าจริงเธอไม่เคยได้รับรางวัลจากพ่อและแม่ ถึงแม้ว่าเธอจะสอบได้ที่ 5 ของชั้นเรียนก็ตาม
หลายครั้งที่รื่นฤทธิ์ได้เสื้อผ้าใหม่ ส่วนเธอนั้นต้องใส่เสื้อผ้าตัวเก่าที่พี่ชายไม่เอาแล้ว จนบางครั้งเธอถูกเด็กแถว ๆ บ้านล้ออยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่แสดงให้เห็นว่า เธออยู่นอกสายตาของพ่อและแม่ตลอด
แต่นั่นไม่ทำให้เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเท่ากับเรื่องเรียนหนังสือ!
พี่ชายของเธอได้เรียนหนังสือจนจบมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ ขณะที่เธอได้เรียนหนังสือแค่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเท่านั้น โดยแม่ของเธอให้เหตุผลที่ว่า
‘เป็นลูกผู้หญิง เรียนสูงไปก็ไม่ได้ใช้ เผลอ ๆ เรียนยังไม่ทันจบก็มีครอบครัวก่อนด้วยซ้ำ’
