บท
ตั้งค่า

บทที่ 5

.

..

...

ทั้งสองตกลงกันไว้ว่าภารันย์ต้องมาค้างคืนที่บ้านหลังนี้เป็นระยะ ๆ เพื่อไม่ให้ผู้ใหญ่ผิดสังเกต โดยอ้างเรื่องที่ต้องฝึกงานในโรงพยาบาลที่ห่างจากบ้านของอิงทัชพอสมควร

“วันนี้พ่อมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยรู้ไหม อย่างน้อยพ่อก็ได้อยู่เห็นวันสำคัญของลูกชายสุดที่รัก” ชาญวิทย์เอ่ยขณะนอนอยู่บนเตียงให้ลูกชายเช็ดตัวอย่างเช่นทุกวัน

อิงทัชมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำเพื่อผู้ชายที่รักสุดหัวใจคนนี้ บิดาคือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต โดยไม่มีอะไรจะทดแทนหรือเทียบเท่าได้เลย

“ผมก็ดีใจครับที่เห็นพ่อมีความสุข วันนี้พ่อยิ้มบ่อยมาก ยิ้มอย่างนี้ทุกวันจะได้ไหมครับ รอยยิ้มของพ่อก็ทำให้ผมมีความสุขเหมือนกัน”

“หากไม่มีพ่อแล้วอิงต้องรักพี่ภาม รักลุงกฤตและป้าอรให้มาก ๆ นะ”

“ไม่เอาสิครับพ่อ อย่าพูดอย่างนี้เด็ดขาด พ่อจะต้องอยู่กับผมไปนาน ๆ เห็นไหมว่าวันนี้พ่อดีขึ้นมากเลย หมอบอกว่าอาการพ่อดีขึ้นมากเลยนะครับ” เขายังคงยิ้มแม้สิ่งที่บอกบิดาไปนั้นจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณหมอบอก

“ไม่ว่าพ่อจะอยู่หรือไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่พ่อคนนี้ยังอยู่ในใจอิงตลอดไปไม่ใช่หรือ” คนป่วยที่นอนบนเตียงในสภาพร่างกายซูบผอมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ใช่ครับ พ่อจะอยู่ในใจผมตลอดไป พ่อสุดที่รักของผม” เขาวางผ้าผืนเล็กลงข้างเตียงเพื่อสวมกอดบิดา เม้มริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลทั้งที่ในใจเจ็บเจียนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

“พ่อก็รักลูกที่สุดในโลกเหมือนกัน” ชาญวิทย์พยายามยกมือที่สั่นเทาและไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาโอบกอดลูกชาย เขาหลับตาลงอย่างช้า ๆ ในขณะที่หัวใจเริ่มเต้นช้าลงเรื่อย ๆ จนแน่นิ่งไปในที่สุด น้ำตาแห่งความสุขไหลลงจากหางตาพร้อมกับลมหายใจที่หมดลง

“พ่อครับ”

”....”

“พ่อ...ฮึก”

“...”

เมื่อรู้ว่าบิดาได้จากไปแล้วเจ้าตัวจึงปล่อยโฮออกมาอย่างสุดเสียง โอบกอดร่างไร้วิญญาณไว้อย่างเจ็บปวดและทรมาน หัวใจดวงนี้แตกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อรู้ว่าผู้เป็นบิดาไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว

“พ่อ! ฮือ... พ่อจะจากผมไปอย่างนี้ไม่ได้นะผมไม่ยอมเด็ดขาด พ่อลืมตาขึ้นมามองผมสิครับ” เขากอดร่างบิดาร่ำไห้น้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด จนคนที่อาบน้ำเสร็จมาหมาด ๆ ได้ยินจึงรีบวิ่งลงมาทันที

“เกิดอะไรขึ้น!”

“พี่ภาม! ช่วยพ่อด้วย ฮือ...” เขาหันไปมองชายหนุ่มผ่านม่านน้ำตา

ภารันย์รีบวิ่งเข้ามาตรวจชีพจรก็พบว่าร่างที่อิงทัชกอดไว้นั้นได้สิ้นลมหายใจไปเสียแล้ว

“คุณลุงท่านไปสบายแล้ว”

“พี่เป็นหมอทำไมไม่ช่วยชีวิตพ่อผมไว้ล่ะ รีบช่วยพ่อเดี๋ยวนี้เข้าใจไหม!” เขาตะโกนใส่หน้าเสียงดัง ไม่สามารถควบคุมสติอารมณ์ได้ในตอนนี้ ซึ่งภารันย์เองก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคือง เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในห้วงแห่งความเสียใจ

“พี่จะโทรเรียกรถพยาบาลให้มารับศพคุณลุงละกัน พี่รู้ว่าอิงเสียใจแต่ต้องพยายามควบคุมสติให้ได้ คิดเสียว่าคุณลุงท่านไม่ต้องทนกับความเจ็บปวดและทรมานกับโรคที่เป็นอยู่อีกแล้ว จะได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง” ภารันย์พยายามปลอบใจ ก่อนจะกดเบอร์โทรหาโรงพยาบาลที่ตนเองกำลังเป็นคุณหมอฝึกหัดให้มารับศพ แล้วยืนดูภาพนั้นด้วยความรู้สึกสงสาร ลังเลว่าจะช่วยปลอบใจอย่างไรดีระหว่างยืนดูอยู่อย่างนี้ หรือวางมือบนแผ่นหลังแล้วลูบเบา ๆ ให้สมกับคนที่เพิ่งจะเข้าพิธีแต่งงานกันมาหมาด ๆ

หมับ!

ในที่สุดภารันย์ก็ตัดสินใจเลือกอย่างหลัง ตอนแรกยังเก้ ๆ กัง ๆ ทว่าหลังจากนั้นไม่นานก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น แทนที่จะได้เข้าห้องหอแต่ทว่าคืนนั้นทั้งคืน ทั้งสองกลับต้องช่วยกันจัดการเรื่องศพของบิดาจนแทบไม่ได้หลับได้นอน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel