บริการรัก มาเฟียเถื่อน

117.0K · จบแล้ว
So Nonny
66
บท
7.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

"เกลียดฉันหรอ ที่พรากความบริสุทธิ์เธอไป" เขาถามแล้วเอนหลังพิงกับผนัง มืออีกข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง "น้องดาเกลียดทุกคนที่ทำให้น้องดากลายเป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจด้วย" "ถึงฉันไม่เอา เธอก็โดนคนอื่นเอาอยู่ดี ยังไงอยู่ที่นี้ก็หนีไม่พ้นหรอก" คำพูดของเขายิ่งทำให้ฉันหวาดกลัวเหลือเกิน พอเพ่งสายตามองคราบเลือดบนเตียงแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยที่ชีวิตตัวเองมีจุดจบแบบนี้ "คุณไม่ต้องยํ้าหรอกค่ะ น้องดารู้แล้ว" "เพราะฉะนั้นเสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ" "ก็มันทำอะไรไม่ได้นิคะ" "เธอมันก็แค่ผู้หญิงขายบริการ ไม่มีใครสงสารหรอก มีแต่คนสมเพช" คำพูดนี้มันตำใจจนจุกแบบบอกไม่ถูก ฉันได้แต่จิกเล็บลงบนที่นอนแล้วอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา "ออกไปได้แล้วค่ะ" "ในฐานะที่ฉันได้ของสดใหม่ ฉันจะจ่ายเธอเยอะหน่อยแล้วกัน" พูดจบเขาก็พ่นควันบุหรี่ออกมาแล้วทิ้งมวลลงบนถาดเขี่ยที่อยู่บนโต๊ะข้างกาย มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระเป๋าตังออกมาก่อนจะหยิบเงินสดออกมาเป็นปึก เขาไม่ได้นับแต่เดินเข้ามาใกล้ฉันแล้วโยนเงินขึ้นจนมันปลิวล้วงหล่นบนพื้น ร่างนั้นเดินออกจากห้องไปพร้อมรอยยิ้มเหยียดหยาม

นิยายรักกัปตันมาเฟียเศรษฐีนักศึกษานิยายรักโรแมนติก

INTO

ประเทศอังกฤษ..

โรงเรียนคอนแวนต์แห่งหนึ่งในกรุงลอนดอนมีหญิงสาววัยมัธยมปลายต่างมารอรับโทรศัพท์จากผู้ปกครองหรือแม้กระทั่งรอจดหมายติดต่อกลับมาในรอบสัปดาห์ ทุกคนได้รับการติดต่อจากผู้ปกครองหมดแล้วยกเว้นเสียแต่เธอ ‘มุกดา’

“รอจดหมายจากผู้ปกครองหรอ” ในขณะที่เธอกำลังยืนหน้าเศร้ามองนักเรียนทุกคนต่างดีใจกับการติดต่อกลับมาจากครอบครัวอยู่นั้นเสียงเอ่ยทักเป็นภาษาอังกฤษของใครบางคนก็เอ่ยขึ้น

“มาสเซอร์” เธอเอ่ยเรียกมาสเซอร์ที่ยืนอยู่ข้างหลัง

“ฉันขอคุยอะไรด้วยหน่อย”

“ได้ค่ะ” มุกดาตอบเพียงเท่านั้นก็เดินตามมาสเซอร์ไปที่ห้องของเขา

“ผู้ปกครองไม่ได้ติดต่อเธอมาหลายสัปดาห์แล้ว รู้ใช่มั้ย” มาสเซอร์ถามในขณะที่ยืนหันหลังให้คนตัวเล็ก

"รู้ค่ะ"

"ทางโรงเรียนช่วยติดต่อกลับไปให้แล้ว แต่ก็ไม่มีสัญญาณอะไรตอบกลับมา ไม่สามารถติตต่อได้" คำพูดของมาสเซอร์ทำให้สีหน้าของเธอยิ่งเจื่อนลง

"สัปดาห์นี้หนูขอลากลับบ้านนะคะมาสเซอร์"

"เขียนใบลามาส่งฉัน แล้วอาทิตย์นี้ก็กลับบ้านได้เลย"

"ได้ค่ะมาสเซอร์" มุกดาขานรับแล้วย่อตัวเคารพมาสเซอร์ก่อนที่เธอจะเดินออกมาจากห้อง เพื่อที่จะเดินไปยังห้องพักของตนเอง ซึ่งห้องพักก็เป็นห้องพักรวมขนาดใหญ่ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในห้องเพราะเป็นวันศุกร์ทุกคนต้องไปรอรับการติดต่อจากผู้ปกครอง ซึ่งในแต่ละสัปดาห์จะได้รับการติดต่อแค่เพียงวันศุกร์เท่านั้น

มุกดาหย่อนร่างอรชรนั่งลงบนเตียงนอนแล้วหยิบปากกาและสมุดมาเขียนจดหมายลากลับบ้านในอาทิตย์นี้ พอเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปส่งจดหมายลาให้มาสเซอร์

( มุกดา )

ครืดด~~~ ครืดด~~

( หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้… )

ความหวังสิ้นสลายเมื่อพยายามโทรกลับไปหาพ่อและแม่แต่ไม่มีใครรับ ฉันถอนหายใจออกมาแล้วทรุดตัวนั่งลงที่นั่งตรงป้ายรถ หลายอาทิตย์ที่แล้วที่ฉันไม่ได้ติดต่อครอบครัวแล้วก็ไม่มีใครติดต่อกลับมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและคนในตระกูลฉันก็แทบจะไม่รู้จักใครเลยตั้งแต่เด็กแล้วเพราะถูกส่งมาเรียนต่างประเทศตั้งแต่จำความได้

ปั้ง!

และในขณะเดียวกันเสียงปืนปริศนาก็ดังขึ้นบริเวณนั้น ทำให้ผู้คนแตกตื่นและกรีดร้องออกมาพร้อมกับวิ่งหนี สติสัมปชัญญะตีรวนสายตาพยายามมองหาต้นเสียงของปืนก็พบว่ามาจากกลุ่มชายฉกรรจ์ชุดดำและพวกมันก็กำลังตรงดิ่งมาทางนี้

"เห้ย!" เสียงของคนนั้นที่มองเห็นฉันเป็นคนแรกร้องสะกิดเรียกเพื่อนตนเองแล้วพวกมันก็วิ่งกรู่เข้ามา ร่างกายวิ่งหนีอัตโนมัติพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวกระหน่ำ

คนพวกนี้เป็นใครกัน ทำไมถึงได้วิ่งไล่ตามฉัน เขาเล็งเป้าหมายผิดตัวรึเปล่า คำถามมากมายผุดเข้ามาในหัว?

ปั้ง! ปั้ง!!

"ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย!" เสียงปืนไล่ยิงตามหลังมาติดๆ ฉันพยายามเอ่ยขอร้องความช่วยเหลือแต่ผู้คนบริเวณนั้นก็หวาดกลัวไม่มีกล้าเข้ามาใกล้หรือแม้แต่ที่คิดจะช่วย เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย

ตึก ตึก ตึก ตึก…

ไม่รู้ว่าวิ่งได้มาไกลเท่าไหร่แต่รู้ตัวอีกทีตัวเองก็หายเข้ามาในซอกของตึกร้างแล้ว และทางตรงหน้าก็เหมือนจะเป็นทางตัน พอถอยหลังหันกลับมาก็เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มเดิมยืนเรียงหน้ากระดานดักเอาไว้แล้วจ่อปืนมาที่ฉัน

"พวกนายต้องการอะไร" ฉันถามออกไปเสียงสั่นเครือ พยายามถอยหลังไปชิดกำแพงแล้วหายใจออกมาเหนื่อยหอบ

"ถามพ่อกับแม่เธอดูสิสาวน้อย"

"ฉันไม่รู้เรื่อง"

"พ่อกับแม่เธอติดต่อไม่ได้ คงคิดว่าจะหนีพ้น"

"ฉันก็ติดต่อท่านไม่ได้เหมือนกัน แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าพ่อกับแม่ไปทำอะไรให้พวกนาย"

"ไม่รู้หรือช่วยปิดบังที่กลบดานให้กันแน่" มันพูดพร้อมกับเตรียมกดยิงกระสุนขู่

"พวกนายจะฆ่าฉันตายก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะถึงจะตายไม่ตายฉันก็ให้คำตอบเรื่องพ่อกับแม่ให้พวกนายไม่ได้"

"ก็จริง" หนึ่งคนที่เหมือนจะเป็นคนนำทีมตอบแล้วมันก็เก็บกระบอกปืนเอาไว้ ก่อนจะหยิบยุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอย่างใจเย็น

"เอาไงดี"

"จับตัวมันไปขาย" พอได้ยินคำนั้นก็เหมือนหัวใจของฉันจะร่วงหล่นไปถึงตาตุ่ม มองไปทางไหนก็ไร้หนทางหนี ได้แต่ปล่อยให้นํ้าตามันไหลออกมาเป็นสายเพราะไม่ตายก็คงถูกจับไปขาย

"ปล่อยนะ! ช่วยด้วย!! อึก!" เสียงสุดท้ายที่พยายามร้องขอความช่วยเหลืออย่างไร้ความสิ้นหวังหายไป พวกมันพุ่งเข้ามาจับตัวแล้วใช้ยาสลบโบ๊ะเข้าที่จมูก จากนั้นไม่นานความมืดก็เข้าครอบงำ

________________________

...

มุกดารู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่าตนเองอยู่ในสถานที่หนึ่งเป็นห้องขังที่มีกรงล้อมรอบ เธอถูกมัดตัวด้วยเชือกติดกับเก้าอี้ เปลือกตาคู่สวยเปิดขึ้นแล้วกวาดมองไปทั่วบริเวณรอบก่อนจะหยุดที่แสงจากช่องลมเล็กๆที่เล็ดลอดเข้ามา มองออกไปเป็นทะเลสีฟ้าครามอันกว้างไกลไร้จุดหมาย

ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตนเองกำลังถูกส่งไปยังนอกประเทศอย่างที่พวกนั้นได้บอกเอาไว้เหมือนตอนแรก มุกดาคิดวิตกเธอมองหาวิธีเอาตัวรอดก่อนจะนึกได้ว่าตนเองมีนาฟิกาที่สามารถโทรออกได้ซ้อนไว้บนรองเท้าผ้าใบ เพราะก่อนหน้านั้นเธอกำลังจะนำไปขายเพื่อใช้เงินบินกลับประเทศไทย

มุกดาพยายามใช้มือก้มถอดรองเท้าตนเองแล้วหยิบนาฬิกาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เบอร์โทรเพียงคนเดียวจากทางตระกูลที่พอจะจำได้มีเพียงลูกพี่ลูกน้องที่ชื่อภาคิน นึกได้แบบนั้นก็ไม่รอช้าติดต่อหาภาคินทันที แล้วไม่นานปลายสายก็กดรับ

( สวัสดีครับ )

"พี่คิน"

( คุณ เป็นใคร ? )

"จำหนูได้ไหมคะ" มุกดาพูดผ่านปลายสายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายกับจะร้องไห้

( จำไม่ได้ ใครครับ )

"หนู มุกดาค่ะ มุกดา ลูกสาวของคุณแม่กับคุณพ่อ หลานขอบคุณย่าโสภา"

( ลูกสาวคุณป้าหรอ? )

"ใช่ค่ะ"

( … ) พอได้ยินคำตอบแบบนั้นภาพความทางจำหลายๆอย่างก็สอดแทรกเข้ามาในห้วงความคิดของภาคิน มุกดา หรือที่ทุกคนเรียกน้องมุก เธอคือลูกสาวเพียงคนเดียวของเมสินีและเอกนัย ในวัยเด็กภาคินเคยเจอเธอแค่ครั้งเดียวและหลังจากนั้นมุกดาก็ถูกส่งตัวไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่ตอนนั้น ที่แทบจะเป็นคนที่ถูกลืมไปในตระกูลเสียแล้ว ยิ่งพ่อกับแม่ถูกตัดออกจากกองทายาท ชีวิตของมุกดาตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นยังไง เขาคงเป็นคนเดียวในบรรดาหลานๆของตระกูลที่เคยคุยกับเธอ

"พี่คิน ช่วยน้องดาหน่อยได้มั้ยคะ"

ตี้ดดดด………