บทนำ /1
บทนำ
เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งหนีสุดชีวิต วิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ขาของเธอจะทำได้ แต่ดูเหมือนยิ่งวิ่งอสูรตัวใหญ่ยักษ์ มีดวงตาสีฟ้า และมีผมสีบลอนด์ ตัดกับสีผิวดำมะเมือกเป็นมันเงา ร่างใหญ่ก้าวเพียงก้าวเดียวแต่เธอต้องก้าวถึงสาม เสียงคำรามฮึมฮัมดังไล่หลังขับให้ขวัญที่เหลือเพียงน้อยนิดติดปีกบินไปไกล ร่างเล็กวิ่งสุดชีวิตเหงื่อกาฬแตกพลั่กๆ หายใจหอบระรัว ร่างกายเธอเริ่มอ่อนล้าลงเรื่อยๆ ความเหนื่อยอ่อนเริ่มเกาะกุมหัวใจ
“โฮก...”เสียงคำรามก้องปลุกปั่นสั่นประสาทให้เด็กน้อยต้องกรีดร้องเสียงลั่น
“กรี๊ดๆ”
เด็กหญิงญารินดา อวัสดางค์ ดีดตัวขึ้นจากฝันร้าย ร่างเล็กชื้นไปด้วยเหงื่อตาเบิกโพลงหอบหายใจแฮ่กๆ ฝันร้ายอีกแล้วหรือนี่ ทำไมเธอถึงต้องฝันร้ายแบบนี้แทบทุกคืน มันน่ากลัวน่าหวาดผวาแค่ไหนไม่อาจอธิบายให้ใครเข้าใจได้ แม้แต่มารดา
“ฝันร้ายอีกแล้วหรือญา”
นางสมศรีเปิดประตูห้องนอนของลูกน้อย กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาร่างเล็กที่นั่งตัวสั่นงันงกอยู่บนเตียงขนาด 3 ฟุต
“แม่จ๋า ช่วยญาด้วย ช่วยด้วย”
เด็กหญิงร้องไห้ผวาเข้ากอดคนเป็นแม่ตัวสั่นเทิ้ม มันน่ากลัวมากจนบางครั้งเธอไม่อยากหลับตาเลย แต่ความง่วงงุนก็ทำให้เธอต้องปรือตาก่อนจะหลับสนิท แล้วจากนั้นฝันร้ายก็เดินหน้าต่อไปในห้วงนิทราของเด็กหญิง
“แม่จะพาญาไปหาหมอพรุ่งนี้นะลูก บางทีหมออาจช่วยหนูได้”
วันรุ่งขึ้นนางสมศรีก็จูงมือเล็กของลูกสาวมาหยุดยืนอยู่หน้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ดวงตาของแม่ก้มลงมองลูกน้อยแล้วสบตาโศกของลูกที่มองขึ้นมาเหมือนจะถาม
“ไปลูก ไปหาคุณหมอกัน”
นางสมศรีจูงมือน้อยเข้าไปติดต่อที่เคาน์เตอร์พยาบาล แจ้งรายละเอียดเพื่อทำประวัติและอาการของลูกน้อยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายเวชระเบียนทราบ เจ้าหน้าที่สาวมองเด็กหญิงด้วยแววตาเอื้ออาทร ไม่คิดว่าเด็กตัวน้อยจะต้องมารักษาอาการทางจิตแบบนี้ แต่เห็นแววตาโศกเศร้าของเธอแล้ว หัวใจของคนมองก็พลันนึกสงสารและอยากเป็นหมอรักษาเธอเสียเอง
“เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายขึ้นไปชั้นสองนะคะ แผนกจิตเวช”
คุณหมอหนุ่มสวมแว่นตากรอบดำท่าทางใจดีส่งยิ้มให้เด็กน้อยซึ่งยกมือไหว้อย่างน่ารัก นางสมศรีทรุดลงนั่งข้างๆ ลูกแล้วเริ่มเล่าอาการของลูกให้หมอหนุ่มได้ฟัง
“ลูกสาวดิฉันมักจะฝันร้ายแทบทุกคืน เป็นอย่างนี้มาเกือบปีแล้วค่ะ”
“ก่อนหน้านั้นเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นบ้างหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ...เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนอายุ 7 ขวบ ตอนนี้ก็ 12 ขวบแล้ว ดิฉันไม่คิดว่าจะเกี่ยวกัน”
“เล่าให้หมอฟังได้ไหมครับ”
นางสมศรีมองหน้าลูกสองจิตสองใจ เธอไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่ถ้าหมอรู้แล้วจะช่วยรักษาญารินดาได้ เธอก็คงต้องเล่าให้ฟัง
“ญา แม่ขอคุยกับหมอแป๊บนึงได้ไหมลูก ญาออกไปก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะเรียกอีกที”
เด็กน้อยพยักหน้าแล้วเดินออกไปอย่างไม่มีเงื่อนไข
ญารินดาเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายแบบนี้มานานแล้ว สั่งให้ทำอะไรก็ทำตามหมดไม่เคยปริปากบ่นเลยสักนิด แถมยังเป็นเด็กเรียนดีแม้จะมีเพื่อนคบหาสมาคมกับเธอน้อย เพราะนับแต่ลูกสาวฝันร้ายเด็กหญิงก็มักจะปลีกตัวอยู่คนเดียวเงียบๆ บางครั้งคนเป็นแม่ต้องเฝ้ามองด้วยความเป็นห่วงมากๆ
เมื่อลับร่างน้อย นางสมศรีเริ่มเล่าเหตุการณ์ในอดีตให้ฟัง
“ตอนนั้นญารินดาอายุ 7 ขวบค่ะ บ้านของดิฉันจะเรียกว่าเป็นสลัมก็ได้ เราอยู่กันอย่างแออัด มีผู้คนมากมายหลากหลายประเภท ทั้งดีและเลวปะปนกันหมด วันที่เกิดเรื่องดิฉันกำลังเข็นรถเข็นขายกล้วยทอดกลับบ้านพอดี ได้ยินเสียงร้องของลูกก็เปิดประตูเข้าไป มีฝรั่งคนหนึ่งไม่รู้ว่าสัญชาติอะไร กำลังจะข่มขืนลูกสาวของดิฉัน ช่วงนั้นกำลังโพล้เพล้พอดีค่ะ ดิฉันจึงฟาดมันเสียสลบแล้วพาลูกหนีออกมาจากที่นั่น เรื่องนี้เกิดมานานจนดิฉันคิดว่าลูกคงลืมได้แล้ว เด็กวัยนั้นพอเจอเพื่อนหน่อยก็ลืมเรื่องเก่า จนกระทั่งเกือบปีที่ผ่านมา ญารินดาก็เริ่มฝันร้าย”
“ฝันถึงผู้ชายคนนั้นเหรอครับ”
“ญาบอกว่าเป็นอสูรตัวใหญ่มาก ผิวสีดำ ตาสีฟ้า ผมสีบลอนด์ ดิฉันคิดว่าเค้าคงดูหนังการ์ตูนมากไปแล้วเก็บเอาไปฝัน ไม่คิดว่าจะเพราะเรื่องในอดีต ก่อนหน้าที่จะฝันลูกดิฉันก็เป็นเด็กธรรมดาเหมือนเด็กทั่วไป ไม่มีวี่แววว่าจะเก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจเลยสักนิด”
“ขอโทษนะครับ ถ้าหมอจะถามว่าน้องญารินดาถูกทารุณกรรมทางเพศหรือยัง”
นางสมศรีส่ายหน้า จดจำได้เป็นอย่างดีว่าลูกสาวยังสวมกางเกงอยู่เรียบร้อย มีแต่เสื้อที่หายไปจากเนื้อตัว
“ยังค่ะ ดิฉันแน่ใจว่ายัง แต่ไม่ได้พาไปตรวจหรอกนะคะ เพราะอายหมอค่ะ ไม่อยากให้ลูกต้องรื้อฟื้นเรื่องนั้นด้วย ที่สำคัญท่าทางของญาก็ไม่บอกว่าเธอถูกคนชั่วนั่นข่มขืน”
คุณหมอถอนใจก่อนยิ้มบนใบหน้าเป็นกำลังใจให้คนเป็นแม่ เรื่องแบบนี้มันพูดยาก แต่ตอนนี้คงต้องรักษาสภาพจิตใจของเด็กน้อยเสียก่อน ไม่ว่าฝันร้ายนั้นจะเกิดเพราะอะไรก็ตาม หมอหนุ่มคิดว่าสาเหตุก็มาจากเรื่องเลวร้ายที่เด็กน้อยประสบพบเจออย่างน่าเวทนา
