บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 ติดถ้ำกับแม่ทัพหลาง

หลางจิ้นถงพาหวางเฉินซีเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้มีขนาดไม่เล็กและไม่ใหญ่มากนัก ชายหนุ่มหันมาบอกให้หญิงสาวรอข้างนอก ส่วนเขาหยิบกระบี่คู่ใจออกมาเดินเข้าไปสำรวจในถ้ำเผื่อมีสัตว์ป่าดุร้าย ทว่าเมื่อเห็นว่าถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำปิด มีทางเข้าออกเพียงแค่ทางเดียว ภายในไม่มีอันตรายจึงส่งเสียงเรียกคนที่รออยู่ทางข้างนอก

“เข้ามา”

ร่างบางก้าวเดินเข้าไปข้างในตามเสียงเรียก ทว่า…

“อึ่ก!” ร่างสูงเซถลาทำท่าจะล้มลง หวางเฉินซีจึงรีบปรี่เข้าไปประคอง แต่เป็นเพราะว่าด้วยขนาดตัวที่ต่างกันทำให้นางรับน้ำหนักเขาไม่ไหว ทั้งนางและเขาต่างล้มลงไปบนพื้น หากแต่คนตัวโตกลับรีบพลิกกายให้นางล้มลงสู่อ้อมแขนของเขาแทน

“ท่านแม่ทัพ โลหิตของท่านไหลออกมาเยอะมากเลยเจ้าค่ะ” ดวงตาคู่งามมองไปยังต้นแขนกำยำด้วยความกังวล ตอนนี้นางไม่มีสมุนไพรหยุดโลหิตติดกายเพราะได้มอบมันให้เขาไปหมดแล้ว ส่วนที่กำลังปลูกอยู่ก็ยังไม่เติบโต

“ข้าไม่เป็นไร”

ดวงตาคู่งามเบิกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงใช้นิ้วแตะเบาๆไปที่แผลของเขา เพียงแค่นั้นก็ทำให้หลางจิ้นถงร้องออกมาเสียงดังแล้ว

“โอ๊ย! นี่เจ้า!” ชายหนุ่มขึงตาใส่นางด้วยความโมโหพลางปัดมือเล็กที่แสนซุกซนออก

“ร้องขนาดนั้นยังบอกไม่เจ็บ เจ็บก็บอกเจ็บสิจะทำอวดดีไปทำไมกัน” หญิงสาวบ่นออกมาเบาๆ แต่หารู้ไม่ว่าเขาได้ยินวาจาของนางเต็มสองหู แต่ก่อนที่จะได้เปิดปากเถียงคนตัวเล็กกลับต้องขมวดคิ้วหนาเข้าหากันแทน

แควก!

“เจ้าจะทำอะไร” หลางจิ้นถงมองคนตัวเล็กที่ฉีกชายกระโปรงของนางออก

“ห้ามเลือดให้ท่านน่ะสิ หาไม่คงได้เลือดออกจนหมดตัวแน่” หวางเฉินซีใช้เศษผ้าพันเข้าที่ต้นแขนแกร่งของเขาเอาไว้ บางทีอาจยังพอทุเลาอาการบาดเจ็บไปได้บ้าง แต่ถ้าหากพรุ่งนี้ยังหาทางออกจากป่าไม่ได้ มีหวังเขาได้ตายจริงๆแน่

“เดี๋ยวข้าจะไปหาฟืนมาจุดไฟ ท่านแม่ทัพรออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน” ร่างบางผุดลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไปจากถ้ำ แต่คนตัวโตขานเรียกนางเอาไว้ก่อน

“เดี๋ยว”

“มีอะไรหรือเจ้าคะ”

“เจ้าหาฟืนเป็นด้วยเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามด้วยความไม่มั่นใจ

“เป็นบ้างเจ้าค่ะ” ในยุคปัจจุบันในตอนที่เรียนชั้นมัธยม นางเคยเรียนวิชาเนตรนารีมาก่อนทำให้พอมีความรู้ติดตัวอยู่บ้าง

หลางจิ้นถงเห็นถึงความตั้งใจของนางจึงไม่รั้งไว้ เวลาผ่านไปสองเค่อหวางเฉินซีก็กลับมาก่อนดวงอาทิตย์ตกดินพอดี ในมือถือกล้วยมาด้วยหนึ่งหวีพอได้กินประทังหิวไปก่อน แสงไฟจากกองเพลิงส่องแสงโชติช่วงชัชวาลท่ามกลางความมืดในยามราตรีกาล หวางเฉินซีส่งสายตามองร่างหนาที่นอนคุดคู้หลับใหลอยู่อีกมุมหนึ่ง เขานอนนิ่งเงียบเช่นนี้มานานแล้ว ทำให้นางรู้สึกใจคอไม่ดีเท่าใดนัก

หากเขาเป็นอะไรไป นางคงไม่รอดออกไปจากป่านี้อย่างแน่นอน

ร่างบางขยับเข้าไปใกล้คนตัวโตใช้นิ้วอังใต้จมูกของเขา เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจของชายหนุ่ม นางจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ดีนะที่ยังมีชีวิตอยู่”

“หนาว..”

“หืม?” หวางเฉินซีก้มหน้าเอียงคอลงไปใกล้ริมฝีปากหนา ได้ยินเขากล่าวเสียงแผ่ว เมื่อลองใช้มือแตะไปที่หน้าผากกว้างสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวจากผิวกายของหลางจิ้นถง

“ท่านแม่ทัพไม่สบายหรือ”

“หนาว”

หวางเฉินซีนิ่งไปเล็กน้อย หากเป็นในละครที่เคยดูในยุคปัจจุบัน ฉากนี้นางเอกคงยอมอุทิศตัวนอนกอดพระเอกเพื่อให้คลายความหนาว หากแต่สำหรับนางแล้ว จะให้นางนอนกอดคนน่ากลัวอย่างหลางจิ้นถงน่ะหรือ ไม่มีทางหรอก!

'แต่ยังไงก็ต้องช่วยเขา หาไม่คงหนาวตาย’ หญิงสาวครุ่นคิดหาวิธีในใจ พลันไม่นานก็คิดออก มือเล็กจับไปที่ข้อมือหนาพลางออกแรงหมายจะลากเขาไปใกล้ๆกับกองไฟ หวังให้ความร้อนจากกองเพลิงช่วยคลายความหนาวให้กับเขา

หากแต่ว่า…

หมั่บ!

“ว้าย!” หวางเฉินซีร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่จู่ๆคนที่นอนปิดเปลือกตาสนิทก็ลืมตาขึ้นพลางออกแรงดึงมือเล็กของนางเข้าหาตัว ทำให้นางล้มทับเขาอย่างพอดิบพอดี

“ท่านแม่ทัพไม่ได้หลับหรือเจ้าคะ” หญิงสาวทำตาโต มองเจ้าของร่างใหญ่ด้วยความตื่นตกใจ

“ข้าบอกว่าข้าหนาว” หลางจิ้นถงกล่าวเสียงดุ

“รู้แล้ว ข้าก็กำลังจะช่วยคลายความหนาวให้ท่านอย่างไรเล่า”

ชายหนุ่มแค่นเสียงเหอะออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะได้คลายความหนาวคงโดนไฟคลอกตายก่อนกระมัง หวางเฉินซีดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง ทว่านอกจากเขาจะไม่ยอมปล่อยนางแล้วกลับกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกด้วย

“ท่านแม่ทัพ ข้าหายใจไม่ออก” มือบางตีไปที่แผงอกกำยำ เมื่อนั้นหลางจิ้นถงจึงยอมคลายอ้อมแขนออกเล็กน้อย

“ตัวของเจ้าช่างอบอุ่น ข้าจะใช้มันคลายความหนาวให้ข้า”

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ แม้อยากดิ้นหนีจากพันธนาการแข็งแรงของคนตัวโตมากเพียงใด แต่เมื่อนึกได้ว่านางยังต้องพึ่งพาอาศัยเขาอยู่จึงยอมนอนนิ่งๆให้เขากอดแต่โดยดี ในใจภาวนาขอให้เช้าวันใหม่เวียนมาถึงเร็วๆ และขอให้นางกับเขาออกไปจากป่านี้ได้เสียทีเถอะ

กุบกับ! กุบกับ! กุบกับ!

เสียงเกือกม้าผสานกับเสียงร้องของม้าดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เจวี้ยนหย่งนำกองกำลังทหารราวสามสิบนายบุกเข้าไปในป่า หลังจากที่เมื่อวานอาชาสีดำคู่ใจของท่านแม่ทัพใหญ่หลางจิ้นถงได้วิ่งกลับเข้าไปในค่ายทหารโดยไร้ซึ่งผู้เป็นนาย เจวี้ยนหย่งรู้ได้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องกับท่านแม่ทัพอย่างแน่นอน เขาจึงนำกองกำลังทหารออกติดตามหา พบเบาะแสว่าท่านแม่ทัพกระโดดลงไปในทะเลสาบ ทว่าเมื่อวานดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้วทำให้การค้นหายากลำบากขึ้น ครั้นเมื่อถึงยามรุ่งสาง เขาจึงรีบนำทหารออกตามแกะรอยท่านแม่ทัพต่อทันที

แต่สิ่งที่เจวี้ยนหย่งสงสัยนั่นคือนอกจากรอยเท้าของท่านแม่ทัพหลางแล้ว เขายังเห็นรอยเท้าเล็กราวกับรอยเท้าของสตรีอีกคน ในใจของชายหนุ่มสงสัยไม่น้อย ตั้งแต่อยู่รับใช้ข้างกายของท่านแม่ทัพหลางมาเป็นเวลานาน เขาไม่เคยเห็นท่านแม่ทัพยุ่งเกี่ยวกับสตรีนางใดมาก่อน

‘ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง'

กระทั่งเขาควบม้ามาหยุดอยู่ที่หน้าถ้ำแห่งหนึ่งที่รอยเท้าของคนทั้งคู่หายเข้าไป เขาจึงกระโดดลงจากหลังม้าพร้อมก้าวเข้าไปข้างในด้วยความรวดเร็ว ภาพที่เห็นทำให้เขาและทหารทุกคนต้องรีบหมุนกายหันหลังให้ทันที

“เจวี้ยนหย่ง” หลางจิ้นถงขานเรียกผู้ติดตามคนสนิท ก่อนจะปล่อยมือออกจากร่างนุ่มนิ่มที่นอนกกกอดอยู่ทั้งคืนพร้อมยันกายลุกขึ้น เมื่อเขาขยับตัวพลอยทำให้คนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่รู้สึกตัวตื่นเช่นกัน ครั้นเมื่อเห็นทหารจำนวนมากยืนอยู่หน้าถ้ำ หวางเฉินซีก็ทำตาโตด้วยความตกใจพร้อมรีบผุดลุกขึ้นตามคนตัวโต

เจวี้ยนหย่งค่อยๆหมุนกายหันหน้ากลับมา เมื่อเห็นเจ้านายบาดเจ็บจึงรีบปรี่เข้าไปประคอง มองริมฝีปากและดวงหน้าซีดเผือดของหลางจิ้นถงด้วยความเป็นห่วง

“ท่านแม่ทัพบาดเจ็บหรือขอรับ”

หลางจิ้นถงผงกศีรษะรับพลางนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

“พวกกบฏต้วนชิวลอบโจมตีข้า”

หวางเฉินซีได้ยินคำว่า 'กบฏต้วนชิว’ จึงนิ่งไปทันที นางจำได้ว่าในนิยายพระเอกเริ่นซิงหลงได้เคยเผชิญหน้ากับพวกกบฏต้วนชิว แต่แม่ทัพหลางจิ้นถงนำกำลังทหารมาช่วยไว้ได้ทัน เริ่นซิงหลงจึงช่วยหลางจิ้นถงสืบหาที่กบดานของพวกมันจนพบ สุดท้ายแม่ทัพหลางจึงนำกองกำลังเข้าปราบพวกมันจนสิ้น

“แหล่งกบดานของพวกกบฏต้วนชิวอยู่ที่ชายฝั่งตรงข้ามทะเลสาบหนานไห่ หากท่านต้องการโจมตีพวกมันจะต้องอ้อมไปทางชายฝั่งทิศตะวันตก ที่ตรงนั้นตั้งอยู่บนเนินเขาจะสามารถมองเห็นแหล่งกบดานของพวกมันและโจมตีพวกมันอย่างได้เปรียบ” วาจาของนางเรียกความสนใจจากทุกคน หลางจิ้นถงขมวดคิ้วเข้าหากัน

“เจ้าพูดจริงหรือ”

“จริงเจ้าค่ะ ข้าเอาศีรษะเป็นประกันได้เลย” ตอบอย่างมั่นใจเพราะนางเคยอ่านนิยายเรื่องนี้จนจบแล้วอย่างไรเล่า

“กลับไปที่ค่าย หากหายดีเมื่อไหร่ข้าจะนำทัพไปกำราบพวกมันให้ราบเป็นหน้ากลอง” ดวงตาคู่คมวาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัว พวกกบฏต้วนชิวอาจหาญมากเกินไปแล้ว เมื่อสามปีก่อน เขาเคยโจมตีค่ายลับของพวกมันที่ชายแดน พวกมันคงแค้นใจจึงส่งคนมาลอบสังหารเขาอยู่เรื่อยๆ หลายวันก่อนเขาเคยโดนพวกมันโจมตีจนเสียท่าและทำให้เขาได้พบกับหวางเฉินซี ในครั้งนี้มันโจมตีเขาอีกครั้งคงหมายจะสังหารเขาอย่างแน่นอน

“ท่านแม่ทัพแล้วแม่นางผู้นั้นล่ะขอรับ” เจวี้ยนหย่งถามเจ้านาย หลางจิ้นถงจึงปรายตามองไปยังคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างหลัง

หวางเฉินซีขยับเข้ามาใกล้กำลังจะเปิดปากขอร้องให้เขาไปส่งนางกลับเรือน หากแต่วาจาต่อมาของคนตัวโตกลับทำให้นางต้องหุบยิ้มลงทันที

“พานางกลับไปที่ค่ายทหาร”

“ได้อย่างไรกันเจ้าคะ! ท่านแม่ทัพ ข้าอยากกลับบ้าน”

“เจ้าจะต้องอยู่ที่ค่ายทหารจนกว่าจะจัดการพวกกบฏต้วนชิวเรียบร้อย” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเข้ม ไม่ได้สนใจต่อท่าทางไม่พอใจของนาง เขาต้องพานางกลับไปด้วย เพราะถ้าหากนางโกหกเขาเรื่องกบฏต้วนชิว เขาจะได้จัดการลงโทษนางให้สาสม

หวางเฉินซีหน้าถอดสีกำลังจะก้าวขาเดินตามเจวี้ยนหย่งที่ประคองหลางจิ้นถงเดินไปขึ้นหลังม้าเพื่อพูดคุยให้รู้เรื่อง หากแต่ทหารสองนายกลับเดินมาดักหน้าของนางเอาไว้ก่อน

“เชิญคุณหนูตามพวกข้ากลับไปที่ค่ายทหารขอรับ”

“ข้าอยากกลับบ้าน” หวางเฉินซีส่ายหน้าหวือ ทหารสองนายหันมาสบตากันเมื่อเห็นท่าทางดื้อรั้นจึงคิดว่านางคงไม่ยอมง่ายๆอย่างแน่นอน ไวเท่าความคิดเขาพากันสาวเท้าเดินเข้ามาขนาบข้างพร้อมกับจัดการยกแขนของนางขึ้นจนคนตัวเล็กตัวลอยเหนือพื้นดินพร้อมพานางไปขึ้นหลังม้าด้วยความรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของหวางเฉินซีที่ดังลั่นไปทั่วถ้ำ

“ข้าอยากกลับบ้าน!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel