บทที่ 8 ตัวปัญหา
"อ๊ะ!" รั่วเหรินซีร้องอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ มองเท้าเล็กๆ ของตนที่ขยับไปมาเหนือพื้นไม้ หากแต่ยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด คนตัวโตก็หิ้วคอนางเดินออกไปจากห้องแล้ว
คล้อยหลังจากที่จางเหวยหลงและรั่วเหรินซีจากไป ฮูหยินผู้เฒ่ากับซุนช่ายต่างหันมาสบตากัน
“ดูเหมือนว่าไท่ฝูจะไม่พอใจฮูหยินมากนะเจ้าคะ” ซุนช่ายรีบขยับมาหาผู้เป็นนาย ยกมือบีบนวดไปตามน่องขาอย่างเอาใจ หงอี้จิงหันไปคว้าพัดมาถือไว้พลางโบกไปมาอย่างสบายใจ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยาไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่นางเคยนึกกลัว
"หึ ข้ามั่นใจว่าอย่างไรหลงเอ๋อร์ก็ต้องเลือกข้าอยู่แล้ว" ฮูหยินผู้เฒ่าแย้มริมฝีปากออกจากกันด้วยความมั่นใจ จางเหวยหลงเป็นหลานชายของนาง เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ เขาจะเห็นคนอื่นดีกว่านางได้อย่างไรกัน
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตคู่ของไท่ฝูกับฮูหยินก็คงไปกันไม่รอด" ซุนช่ายกล่าวพึมพำเสียงเบา วาจาของนางทำให้หงอี้จิงพยักหน้ารับด้วยความพึงพอใจ
“และเมื่อถึงวันนั้น ข้าจะยุให้หลานชายข้าเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอหย่าจากนาง” หงอี้จิงหัวเราะออกมาเบาๆอย่างมีความสุข ในเมื่อรั่วเหรินซีไม่ใช่คนที่นางหมายตาไว้ตั้งแต่แรก สตรีที่เกิดจากตระกูลพ่อค้าต่ำต้อย มีเงินแต่ไม่มีเกียรติอย่างนาง ถึงแม้จะร่ำรวยเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเทียบกับสตรีที่เกิดจากตระกูลขุนนางได้
“ฮูหยินผู้เฒ่ามีแผนอย่างไรต่อไปหรือเจ้าคะ ในเมื่อตอนนี้คุณหนูฟู่เจียหนิงก็ได้หมั้นหมายกับคนอื่นแล้ว” ซุนช่ายถามด้วยความสงสัย ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า
“บุตรีที่เกิดจากตระกูลขุนนางยังมีอีกตั้งหลายคน ขอเพียงแค่หลงเอ๋อร์เอ่ยปากขอหย่าจากรั่วเหรินซีให้ได้ก่อน เมื่อยามนั้นมาถึงข้าจะเฟ้นหาสตรีที่เปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติที่เหมาะสมกับตำแหน่งหลานสะใภ้ของสกุลจางด้วยตัวข้าเอง!" นางกล่าวอย่างหมายมาด
ตุ้บ!
"โอะ!" ร่างบางเซถลาทำท่าจะล้มลง เพราะทรงตัวไม่อยู่ เมื่อจางเหวยหลงวางร่างเล็กลงบนพื้นอย่างไม่เบาแรงนัก
"กลับไปที่ห้องหอ อย่าได้เข้าไปสร้างปัญหาให้ท่านป้าอีก" น้ำเสียงดุดันกล่าวขึ้น รั่วเหรินซีเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นด้วยความโมโห เขาเห็นนางเป็นตัวปัญหาหรือไง!
"ข้าไม่ได้ตั้งใจจะสร้างปัญหาเสียหน่อย ที่ทำไปก็เพราะหวังดีกับฮูหยินผู้เฒ่าทั้งนั้น" หากนางรู้ว่านั่นเป็นกระโถนสำหรับขับถ่าย นางจะกล้าทำอย่างนั้นกับฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไรกัน
"แต่ความหวังดีของเจ้าทำให้คนอื่นเดือดร้อน ก็เห็นแล้วนี่!" จางเหวยหลงตอบเสียงกระด้าง อารมณ์ขุ่นมัวมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนางจะไม่ยอมรับผิดแล้วยังเถียงเขาคอเป็นเอ็น คนที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้าต่อปากต่อคำเช่นนี้มาก่อนจึงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
ทั้งสองคนสบตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งหลิวกุ้ยและขงจิ่งต่างพากันลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สถานการณ์ตรงหน้าเริ่มเหมือนสนามรบขนาดย่อมเข้าไปทุกทีๆ
"ฮูหยินเจ้าขาอย่าเถียงไท่ฝูเลยนะเจ้าคะ" หลิวกุ้ยขยับเข้าไปหาเจ้านายกระซิบกระซาบเสียงเบา
"ฝากไว้ก่อนเถอะ"
รั่วเหรินซีกำมือแน่น ก่อนจะหมุนกายหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว นางรู้สึกคันปากยิกๆ อยากเถียงเขาไม่หาย ขืนอยู่นานกว่านี้เรื่องคงไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอน
"นึกว่าจะแน่" จางเหวยหลงแค่นเสียงเหอะในลำคอ แต่เมื่อหันไปเห็นสายตาของขงจิ่งที่กำลังมองอยู่จึงถามเสียงกระด้าง
"มองอะไร!"
"ไท่ฝูไม่ตำหนิฮูหยินแรงไปหน่อยหรือขอรับ" เขาถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ หากเป็นผู้อื่นคงไม่กล้าถามหรอก แต่เพราะเขาอยู่รับใช้จางไท่ฝูมานานจึงมีความสนิทสนมกันอยู่สมควร แต่กระนั้นก็ยังคงมีความเกรงใจอยู่ไม่น้อย
"..." จางเหวยหลงไม่ตอบคำถามของเขา แต่กลับเลิกคิ้วขึ้นเชิงสงสัย ขงจิ่งเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวต่อ
"เรื่องที่เกิดขึ้นฮูหยินไม่ผิดนะขอรับ เพียงแต่ว่าที่ทำไปนั้นเป็นแค่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้นเอง เราควรดูที่เจตนามากกว่ามิใช่หรือขอรับ"
จางเหวยหลงได้ฟังความคิดของขงจิ่งจึงคิดตาม และพบว่าที่ขงจิ่งกล่าวมานั้นถูกต้องทุกประการ เป็นเขาเองที่หน้ามืดตามัวเป็นห่วงท่านป้าหงอี้จิงจึงเผลอตำหนินางไปด้วยถ้อยคำที่รุนแรง แต่กระนั้นเขาก็ไม่ชอบใจเท่าใดนักที่นางเถียงเขาอย่างไม่เกรงกลัว ไม่มีฮูหยินจวนไหนกล้าต่อปากต่อคำกับสามีเช่นนางหรอกนะ!
"หากไท่ฝูจะขอโทษฮูหยิน... "
"เรื่องอะไรจะต้องขอโทษ นางสิที่ต้องขอโทษที่เถียงข้าต่อหน้าบ่าวไพร่เช่นนั้น!" จางเหวยหลงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก หากเขาไม่สามารถกำราบความอวดดีของนางได้ ผู้คนคงจะได้หัวเราะเยาะว่าจางไท่ฝูไม่ได้รับความเคารพจากภรรยา หากเป็นเช่นนั้นแล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน ร่างสูงก้าวเดินกลับไปยังห้องหนังสือ หวังจะเข้าไปอ่านหนังสือให้จิตใจสงบลงมากกว่านี้
ในขณะที่ภายในห้องหอ หลิวกุ้ยก็พยายามปลอบเจ้านายสาวที่ยังอยู่ในอารมณ์คุกรุ่นไม่ต่างกันเท่าใดนัก
"โธ่ ฮูหยินเจ้าขาอย่าได้โกรธเคืองไท่ฝูเลยนะเจ้าคะ"
"เขามีสิทธิ์โกรธข้าฝ่ายเดียวงั้นหรือ" รั่วเหรินซีตวัดเสียงถามด้วยความไม่พอใจ หลิวกุ้ยจึงรีบใช้มือลูบแขนนางไปมาเบาๆอย่างปลอบประโลม หวังใช้น้ำเย็นช่วยดับอารมณ์ขุ่นมัวของเจ้านาย
"ฮูหยินไม่น่าไปเถียงไท่ฝูเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ ไม่ดีเลยเจ้าค่ะ"
วาจาของนางทำให้รั่วเหรินซีรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม นางดึงแขนออกจากการเกาะกุมของหลิวกุ้ยด้วยความโกรธ
"ไยจะไม่ดี เขาไม่มีสิทธิ์ด่าข้าฝ่ายเดียวเสียหน่อย หรือถ้าเจ้าเข้าข้างเขาก็ไปอยู่กับไท่ฝูเลยสิ" รั่วเหรินซีโบกมือไล่ เบือนหน้าหนีหลิวกุ้ยสาวใช้คนสนิทอย่างแง่งอน
"ไม่ใช่เจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้เข้าข้างไท่ฝู แต่บ่าวเป็นห่วงฮูหยินต่างหาก หากมีผู้ใดรู้เข้าว่าฮูหยินต่อปากต่อคำสามีจะเอาไปติฉินนินทาเสียๆหายๆได้ว่าฮูหยินไม่ให้เกียรติไท่ฝูนะเจ้าคะ"
'สังคมชายเป็นใหญ่เป็นแบบนี้เองสินะ' หญิงสาวเปล่งเสียงหึออกมาเบาๆ ในยุคนี้ฝ่ายหญิงไม่มีสิทธิ์มีเสียงเท่ากับฝ่ายชาย น่าอึดอัดยิ่งนัก!
ทว่าไม่นานความหงุดหงิดที่มีก็พลันหายไป เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเหตุไฉนนางถึงไม่ถือโอกาสนี้พลิกจากวิกฤติให้กลายเป็นโอกาสเสียเลย ในเมื่อตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็คงชังน้ำหน้าของนางไปแล้ว อีกทั้งจางไท่ฝูก็ทะเลาะกับนางใหญ่โต เช่นนั้นนางจะถือโอกาสเอาข้ออ้างนี้เป็นฝ่ายขอแยกทางกับเขา ให้เขาเปิดปากขอหย่าจากนางไปเลย!
‘มู่ชิงเหยาฉลาดยิ่งนัก' หญิงสาวชมตัวเองในใจ มุมปากบางยกยิ้มขึ้นด้วยความยินดี ในขณะที่หลิวกุ้ยแอบชำเลืองมองเจ้านายด้วยความงุนงงเมื่อเห็นนางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว
“ไปกันเถอะหลิวกุ้ย”
“ไปไหนเจ้าคะฮูหยิน” หลิวกุ้ยเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้านาย เห็นนางเดินไปเปิดหีบคว้าถุงเงินมาราวสามสี่ใบ
“ไปเที่ยวเล่นใช้เงินกันให้สบายใจอย่างไรเล่า” หญิงสาวเขย่าถุงเงินในมือจนมันส่งเสียงกระทบกันไปมา เงินพวกนี้คือเงินที่เป็นสินสอดจากสกุลจางที่มอบให้นาง ไม่ใช่เงินของสกุลรั่ว นางจึงตั้งใจจะนำไปจับจ่ายซื้อของให้หนำใจ หลังจากนั้นจะกลับมาตีหน้าเศร้าไปพบจางไท่ฝูและบอกว่านางรับไม่ได้ที่เขาต่อว่านาง และจะขอให้เขาหย่าขาดจากนางเสียเลย
รั่วเหรินซีเดินฮัมเพลงไปขึ้นรถม้าอย่างอารมณ์ดี หารู้ไม่ว่าตอนนี้มีสายตาของใครบางคนแอบมองนางอยู่ ทันทีที่รถม้าเคลื่อนออกไปจากประตูจวน ร่างเล็กก็วิ่งฉิวตรงไปยังเรือนบูรพาอย่างรวดเร็ว
รั่วเหรินซีสั่งให้คนขับรถม้าพามาแวะร้านขายผ้าชื่อดังที่ตั้งอยู่นอกตลาดใหญ่ใจกลางเมือง เมื่อมาถึงจุดหมาย ทั้งสองคนจึงก้าวลงจากรถม้า หญิงสาวมองไปยังป้ายไม้ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าข้างประตูทางเข้า
‘ร้านขายผ้าพานหนิง’
หญิงสาวอ่านชื่อร้านในใจ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้หลิวกุ้ยและก้าวเดินเข้าไปในร้าน ร้านขายผ้าพานหนิงเป็นร้านขายผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เหล่าผู้ดีมีอันจะกินทั้งหลายต่างชอบมาใช้บริการร้านนี้ ถึงแม้ราคาจะแพงหูฉี่ แต่ฝีมือการตัดเย็บปราณีตสวยงามจึงทำให้ร้านพานหนิงเป็นที่นิยมอย่างมาก
ในยามที่รั่วเหรินซียังอยู่ที่เรือนสกุลรั่ว นางไม่เคยมีโอกาสได้เข้ามาใช้บริการที่ร้านแห่งนี้ เพราะเยว่เล่อซินให้เบี้ยรายเดือนนางเพียงแค่หยิบมือ รั่วเหรินซีคนเดิมไม่เคยปริปากฟ้องเรื่องที่ฮูหยินรองหักเบี้ยรายเดือนของนางให้รั่วเฉิงผู้เป็นบิดารู้จึงต้องยอมใช้เงินอย่างประหยัด ต่างจากรั่วหรงซินที่หมดเงินตัดชุดใหม่เดือนละหลายก้วน
ทันทีที่ประตูร้านเปิดออก เถ้าแก่เจ้าของร้านก็รีบปรี่เข้ามาต้อนรับลูกค้าอย่างรู้งาน
“ข้าอยากได้ผ้าสำหรับตัดชุดสักสองสามผืน” หญิงสาวแจ้งความจำนง เถ้าแก่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบกุลีกุจอพานางไปดูสินค้า
“วันนี้ได้ผ้ามาใหม่เป็นผ้าไหมเนื้อดีจากพวกอาหรับ ลวดลายงดงามมากเลยขอรับ”
รั่วเหรินซีมองผ้าสลักลายบุปผานานาชนิดสีชมพูด้วยความพึงพอใจ ผ้าผืนนี้งดงามยิ่งกว่าที่เคยเห็นจากที่ไหนๆ จึงตั้งใจอยากนำไปตัดชุดสำหรับใส่ไปงานเลี้ยง
“ตกลง…” เอ่ยยังไม่ทันจบก็มีเสียงใครบางคนดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เถ้าแก่ ข้าต้องการผ้าผืนนั้น”
ม้วนผ้าที่วางอยู่ตรงหน้าของรั่วเหรินซีถูกใครบางคนหยิบมันไป น้ำเสียงที่ได้ยินรู้สึกคุ้นเคยจนอดหันไปมองคนที่เป็นเจ้าของเสียงไม่ได้
