บทที่ 2 ตอนที่ 1
“ผมหวังว่าทุกคนจะเข้าใจ โอเคนะครับ ผมกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีอะไรกัน ผมไม่รู้จักเธอ ผมแค่ช่วยเธอมาจากทะเลเมื่อคืน แล้วไอ้จ้อยมันก็ปั่นหัวผม ถึงได้เผลอพูดไปแบบนั้น” เขาเป่าปาก พยายามอธิบายกับบรรดาคนในชุมชน ซึ่งรู้จักมักคุ้นกันดี
ดี... เสียยิ่งกว่าทำงานทะเบียนราษฎร์
“แล้วเอ็งจะเอายังไงต่อวะซัน” ป้าคนหนึ่งถาม และอีกนับสิบมองเขาเป็นตาเดียวรอคำตอบ
“เดี๋ยวเธอฟื้นเธอก็คงกลับบ้าน และ... ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว ไม่ มี อะไร จริง ๆ” เขาสรุปย้ำชัดถ้อยชัดคำ
“แล้วจะไปขายของไหมเนี่ย วันนี้ ตะวันสายโด่งแล้วเอ็ง”
“คงไม่ทันแล้วครับป้าสร้อย เมื่อเช้าก็ไม่ได้ไปซื้อของด้วย”
“กลางคืนทำงานหนักแล้ว กลางวันให้พี่เขาพักบ้างเถอะแม่” จ้อยแทรกขึ้น ทุกคนฮือฮาหัวเราะร่วน
“ไอ้จ้อย! เดี๋ยวเถอะมึง” เขาลุกพรวด ทำท่าจะเข้าไปเล่นงานจ้อย แต่เด็กน้อยก็เร็วปานลิงลม ร้องโอดครวญแล้วก็วิ่งหายออกไปทางปากซอย ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนเท้าสะเอวเหนื่อยหอบเป่าลมออกปาก พลางสบถฮึ่มฮั่มพลางหันหน้ามาเจรจากับกองทะเบียนราษฎร์ทั้งหลายอีกหน “พวกพี่ป้าน้าอาก็เหมือนกัน ไม่ทำงานทำการกันเหรอ ผมไม่ได้จ่ายเงินเดือนให้นะ ไม่ต้องมาตามติดชีวิตผมนักก็ได้”
“มันงานจิตอาสาโว้ยไอ้ซัน งานเสือกเนี่ย ถ้าป้าไม่รู้เรื่องเอ็ง แล้ววันนี้จะไปคุยกับคนในตลาดรู้เรื่องได้ยังไง โอ้ย! มาทำเป็นลับลมคมใน” ป้าสร้อยบ่นแล้วก็ลุกจากเก้าอี้ม้าหินอ่อนหน้าปากทางออกจากซอยเดินบ่นอุบจากไป
“ป้าสร้อยพูดถูกพี่ อย่าแล้งน้ำใจนัก ขนาดวันก่อนอีแม้นที่อยู่ตำบลฝั่งโน้นตีกับผัว ฉันยังมีน้ำใจเอามาเล่าให้พี่ฟังเลย” สาวสวยนามว่าอ้อยถลกผ้าถุงแล้วชี้ไม้ชี้มือเป็นท่าเป็นทาง แล้วกระทืบเท้าตามป้าสร้อยไปอีกคน
“เอ็งนี่มันไม่ไหวเลยไอ้ซัน...” ลุงจงขี้เหล้าส่ายหน้าแล้วลุกเดินไปบ้าง และทุกคนก็ทยอยจากไปด้วยท่าทีผิดหวังในตัวเขาเสียเหลือเกิน ประหนึ่งเขาไปฆ่าข่มขืนลูกสาวใครมา
“นี่ตกลงกูผิดจริง ๆ เหรอวะเนี่ย” หรัณย์ขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความสำนึกผิด แล้วเดินกลับไปยังห้องเช่าหลังน้อยที่อยู่ด้านในสุดของซอยนี้ ซึ่งมีหญิงสาวปริศนานอนสลบอยู่บนเตียงตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว หลังจากอาละวาดจนเหนื่อย
เขาเพิ่งย้ายเข้ามาอาศัยในชุมชนแห่งนี้ได้สามวัน ย้ายจากอีกซอย... มายังอีกซอย สาเหตุมาจากลูกสาวป้าข้างบ้านตบตีกันเพราะอยากได้เขาไปเป็นลูกเขยให้แม่เนื่องในวันแม่แห่งชาติ คนหนึ่งถูกตบจนปากฉีก อีกคนก็ถูกดึงทึ้งผมจนเกือบหมดหัว เขาไม่อาจทนต่อสถานการณ์กดดันเช่นนั้นได้ เพราะเจ้าของบ้านเช่าบอกว่า
“กูบอกแล้วว่าห้ามเลี้ยงหมาตัวเมีย! มันกัดกันข้าวของพังฉิบหายหมด!”เขาจึงจำเป็นต้องหาที่อยู่ใหม่ แม้จะไม่ได้เลี้ยงสุนัขอย่างที่ป้าเจ้าของบ้านค่อนแคะ แต่ผู้หญิงพวกนั้นก็ทะเลาะกันเพราะเขา และทำลายข้าวของยันกระเบื้องหลังคายังไม่เว้น เป็นอย่างที่แกเปรียบเทียบเอาไว้จริง ๆ
จึงได้ป้าสร้อย แม่ค้าในตลาด ผู้หยั่งรู้ฟ้าดินทุกซอกทุกซอย ช่วยหาบ้านใหม่ให้ และเขาก็ชอบมัน เพราะแม้จะเป็นห้องเดี่ยวเล็ก ๆ แต่ก็มีความเป็นส่วนตัว และมีอยู่หลังเดียว
แต่ก็นั่นแหละ...
ใครแคร์! ทุกคนในชุมชนก็ยังแวะเวียนมาดูแลด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ขาด
“หวังว่าตื่นมาแล้วจะไม่อาละวาดอีกนะ จะหาเรื่องใส่ตัวทำไมวะเรา เฮ้อ!” เขามายืนอยู่หน้าห้อง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่คิดว่าเมื่อหญิงสาวได้กลับบ้านของหล่อนไปแล้ว ทุกอย่างก็คงจบแค่นั้น
“คุณ... คุณ...” เมื่อเข้ามาปรากฏว่าสาวเจ้ายังไม่ฟื้น จะว่าหล่อนสลบก็ไม่น่าใช่ เรียกว่าหลับลึกจะดีกว่า เพราะเสียงกรนสนั่นซะขนาดนั้น...
หรัณย์เข้าใจทันที... ไอ้ที่เขาคิดว่าหล่อนช็อกหมดสติเพราะตกใจ ที่แท้หล่อนหลับกลางอากาศ!
“คุณ!”
“ว้าย!” ร่างที่นอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มหนานุ่มหล่นตุ๊บลงพื้น ส่งเสียงครางโอดโอย หล่อนพลิกตัวใช้มือจับสะโพก แล้วมองต้นเหตุนิ่งงัน คล้ายทบทวนอะไรบางอย่าง
“แกอีกแล้วเหรอ! แกมาได้ยังไง” หล่อนชี้มือเกร็งจนสั่น
“จะบ้าเหรอเจ๊ นี่มันห้องผม โอ๊ย! ปวดยันจิตจริง ๆ ช่วยใครไม่ช่วย ไปช่วยคนบ้า” มือหนึ่งเท้าสะเอว มือหนึ่งยกขึ้นนวดขมับ
และดูเหมือนหญิงสาวกำลังสับสน หล่อนกวาดสายตามองรอบ ๆ ห้องอย่างพิจารณา
“แก... แกข่มขืนฉันแล้วยังถีบฉันตกเตียงอีกเหรอ” คราวนี้หล่อนร้องโฮ ส่วนชายหนุ่มก็มองตะลึงเมื่อได้ยินประโยคนั้น
“คุณ ๆ ไปกันใหญ่แล้ว จะมีสักนาทีไหมที่คุณจะพูดจารู้เรื่องเป็นผู้เป็นคนกับเขาเนี่ย”
“ก็แก! แกมันเลว...” หล่อนซบหน้าลงบนฝ่ามือ ร่ำไห้เหมือนฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย
“ฟังนะฟัง ตั้งใจฟังให้ดี ไม่งั้นก็ออกไปร้องหน้าปากซอยโน่น ผมรำคาญ เมื่อคืนคุณเมามาก แล้วเป็นลม ผมไม่รู้จะทำยังไง เลยพามาที่ห้องนี่แหละ คุณเปียกทั้งตัว เลยต้องเปลี่ยนผ้าให้ ไม่งั้นที่นอนผมก็เละ เข้าใจไหม”
“เข้าใจ...”
“หือ... ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง อีกฝ่ายพยักหน้าหงึก ๆ เพื่อยืนยันให้เขามั่นใจ
“แล้วยังไงต่อ” หล่อนถาม เหมือนคนดี ๆ ทั่วไป ทั้งที่ก่อนหน้าคล้ายเสียสติตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน
“ก็กลับสิคุณ กลับบ้านคุณไง”
“ฉัน... คือฉัน” หล่อนหลุบตาต่ำ ปากก็พร่ำพูดบางอย่างฟังไม่เป็นศัพท์
“บ้านคุณอยู่ไหน แล้วคุณชื่ออะไร”
“...” หล่อนเงยหน้ามอง แล้วเม้มริมฝีปากครุ่นคิด
“ว่าไง ผมจะได้ทำงานทำการซะที นั่น... ชุดชั้นในก็แห้งแล้ว ผมให้ยืมชุดนั้นใส่กลับล่ะกัน ปะ... เดี๋ยวพาไปส่งวินรถมอ’ไซค์” “เฮ้ย!” หล่อนรีบหดตัวแล้วกอดเข่าแน่นเมื่อชายหนุ่มกล่าวถึงชุดชั้นใน จ้องเขาตาเขียว
“อย่านะ... ผมอธิบายแล้วนะ”
“...”
“ว่ายังไง บ้านอยู่ไหนจะได้บอกวินให้ไปส่ง” เขาถอนหายใจเฮือก
“ฉัน... ไม่รู้ ฉันจำอะไรไม่ได้” หล่อนตอบเสียงอ้อมแอ้ม เหลือบมองเขาแบ่งรับแบ่งสู้
“ฮะ! เป็นไปได้ยังไง คุณไม่ได้บาดเจ็บนี่ หัวไม่ได้ฟาดพื้น ไม่ได้จมน้ำด้วย”
“แต่... แต่ฉันเมาไม่ใช่เหรอ อาจจะเมามาก ๆ ก็เลยความจำเสื่อมก็ได้”
“บ้าสิ! คุณเมาได้ แต่คุณจะความจำเสื่อมไม่ได้!” เขาค้านสุดเสียง
“ได้สิ ต้องได้... ฉันความจำเสื่อมแน่ ๆ ฉันมั่นใจ ฉันจำอะไรไม่ได้เลย”
“โอเค เสื่อมก็เสื่อม งั้นเราไปหาหมอกัน” คราวนี้ถอนหายใจแรงกว่าเดิม
“ไม่ไป” หล่อนส่ายหน้ายิก
“ทำไมไม่ไป เพราะว่าคุณโกหกใช่ไหม” เขาไม่ได้บ้า ถึงขนาดจะเชื่อว่าคนเมาแล้วความจำเสื่อมได้ แต่ตอนนี้สมองเขากำลังจะเสื่อมเพราะหล่อนนี่แหละ!
“เปล่า... แต่นายไม่คิดว่ามันอันตรายเหรอ ฉันอาจจะถูกตามฆ่า มอมเหล้า เอามาทิ้งทะเล จนความจำเสื่อม ถ้านายพาไปหาหมอ แล้วมีคนมาดักฆ่า ฉันจะทำไง นายต้องมีบาปติดตัวไปตลอดชีวิต ถึงไม่ได้ฆ่ากับมือ แต่ก็พาฉันไปตาย นายคิดดูสิ” น้ำเสียงของหล่อนสั่นเครือ ยังคงนั่งคุดคู้งอตัวอยู่เช่นเดิม
“งั้นไปหาตำรวจ”
“ยิ่งไปกันใหญ่ พวกที่ตามฆ่าฉันอาจจะมีเส้นสายเป็นตำรวจก็ได้ ถึงกล้าทำเรื่องผิดกฎหมายโดยไม่สะทกสะท้าน” หล่อนให้เหตุผล
“จะบ้าเหรอคุณ... แล้วคุณจะทำยังไง”
“ขออยู่ด้วยสิ... จนกว่าฉันจะจำตัวเองได้ก็แล้วกัน” เมื่อเขาถาม หล่อนก็รีบยื่นข้อเสนอทันที
“ไม่ได้! ผมต้องทำงานทำการนะคุณ แล้วผมก็ไม่ได้รวยด้วย ชื่อเสียงเรียงนามคุณผมก็ไม่รู้จัก ใช่ ๆ... ชื่อ คุณชื่ออะไร พอจะจำได้ไหม” นี่สรุปเขาต้องเชื่อแม่นี่จริง ๆ ใช่ไหม!
“ฉัน... จำไม่ได้”
“เอาแม่เอ๊า! ทีนี้จะทำยังไง” หรัณย์ถามตัวเอง แต่หญิงสาวก็ตอบให้
“ตั้งชื่อให้ฉันสิ... นายจะได้เรียกถูกไง” หล่อนยิ้มแหย
“แล้วทำไมผมต้องตั้งชื่อให้คุณด้วย อยากชื่ออะไรก็บอกมาละกัน”
“แต่นายเป็นคนช่วยฉันนะ ให้ชีวิตคน... ก็เหมือนเป็นพ่อคนคนหนึ่ง คิดว่านายเป็นพ่อฉันละกัน”
“...” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมองหล่อนด้วยสายตาไม่เชื่อหู
“นะ...” หล่อนมองอ้อน
“ผมมีทางเลือกไหม... คือคุณ ผม...” เขาทำท่าอึกอัก
“งั้นก็พาฉันกลับไปที่เดิมเถอะ... ฉันอาจจะเหมาะกับการอยู่ตรงนั้น” หล่อนหลุบตามองต่ำ
“เฮ้ย! ไม่ได้ เอางี้... ผมจะให้คุณอยู่กับผมได้ชั่วคราว แต่เราต้องไปหาหมอ และผมจะช่วยหาทางสืบประวัติว่าคุณเป็นใคร ถ้าคุณกลัวว่ามีคนตามล่าอย่างที่คุณคิด เราจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ตกลงไหม”
“ตกลง... แล้วพวกเพื่อน ๆ นายล่ะ เมื่อเช้าพวกนั้นแห่กันมาเต็มเลย นายบอกไปว่ายังไง” คนความจำเสื่อมถาม
“นั่นสิ ดันบอกความจริงไปว่าเจอที่ชายหาด... ทำไงดี” หรัณย์ครุ่นคิด เขาเดินมานั่งตรงปลายเตียงแล้วยกมือนวดขมับ
“ก็บอกไปตามนั้น... นายช่วยฉันไว้ เลยให้อยู่ด้วยชั่วคราว เพราะฉันถูกผัวทิ้งเลยไม่มีที่ไป” หล่อนก้มหน้าเศร้า ไม่จำเป็นต้องโกหกอะไรเลย ในเมื่อมันจริงเกือบทุกอย่าง เว้นก็แต่เรื่องความจำเสื่อมเท่านั้น
“แล้วโดนผัวทิ้งมาจริงหรือเปล่า...” เขาหันมองหล่อนนิ่ง...
“ก็บอกว่าจำอะไรไม่ได้”
“จำไม่ได้หรือไม่อยากจำ” ชายหนุ่มจี้ย้ำ จ้องไม่กะพริบตา
“ตกลงจะช่วยไหมล่ะ ถ้าไม่ ฉันจะไปตามทางของฉัน”
“โอเค ๆ... ผมชื่อหรัณย์ เรียกซันก็ได้ เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีน้ำใจ เรามาคิดกันดีกว่าจะให้คุณชื่ออะไรดี” พูดแล้วส่ายหน้าไปพลาง ถอนหายใจไปพลาง นี่สินะ... ที่เขาเรียกว่าหาเหาใส่หัว ระดับนี้ไม่ใช่เหาธรรมดาเสียด้วย แต่เป็นนางพญา!
“ชื่อแอ๊ฟ ทักษอรเป็นไง ชมพู่ อารยา นุ่น วรนุช อั้ม...”
“ลูกชิ้น... ต่อไปนี้คุณชื่อลูกชิ้นนะ”
“คนอะไรตัวนิดเดียวนมใหญ่เป็นบ้า”
“นายว่าอะไรนะ อะไรนม ๆ” หล่อนแหวเสียงแหลมในขณะที่กำลังเลือกซื้อเสื้อผ้า เมื่อหูได้ยินเสียงชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ บ่นพึมพำ “อยากกินชานม รีบ ๆ ซื้อได้ไหม หิวนม” เขาหันมาตอบ แต่สายตาซึ่งหันมามองนั้น แสดงพิรุธที่พยายามปกปิดชัดเจน
“ไอ้ลามก!”
“อ้าว... นี่ช่วยขนาดนี้ยังมาด่าอีก อีตอนถามว่าเป็นใครจำไม่ได้ พอเรื่องด่าล่ะจำมาจากไหนนักหนา”
“ถอยไปเลย จะซื้อของ จะได้รีบกลับ”
“แม่เอ๊ย! ตัวตนจริง ๆ ของคุณดุเดือดแบบนี้ไหมเนี่ย มา! ผมช่วยเลือกดีกว่าจะได้เสร็จ ๆ สักที นี่เกือบสองชั่วโมงแล้วนะคุณ” ไม่พูดเปล่า ร่างใหญ่ในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดสีดำเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าสตรี หยิบนั่นจับนี่ ด้วยความว่องไว โดยมีหญิงสาวกวาดตาหันมองตามอึ้ง ๆ
“นี่... อันนั้นไม่ได้นะ นั่นมัน... ของส่วนตัวนะ” หล่อนรีบสาวเท้าเข้าไปขวาง เมื่อเห็นชายหนุ่มซึ่งหอบเสื้อผ้าพะรุงพะรังไปยังโซนชุดชั้นใน ซึ่งแขวนเด่นหราไว้ให้เลือก
ตัวละเก้าสิบเก้าบาท!
“เอาตัวนี้ครับ สีดำ แล้วก็ตัวนี้ด้วย” เขาหยิบ ๆ และหยิบ แล้วส่งของทั้งหมดในมือให้แม่ค้าที่กำลังยืนมองงง ๆ แต่ก็รับไว้คว้าเอาถุงมาใส่อย่างรวดเร็ว
“เก้าสิบเก้าบวกเก้าสิบเก้า กางเกงในสามตัวพี่คิดร้อยนึงพอค่ะ แล้วก็เสื้อ กางเกง...” แม่ค้ารีบจิ้มเครื่องคิดเลข ก่อนที่โอกาสจะกลายเป็นวิกฤต เพราะลูกค้ากำลังจะไฟต์กัน!
“นี่ ไม่เอา... นายจะบ้าเหรอ มารู้ได้ยังไง ฉันใส่แบบไหนชอบแบบไหน”
“ก็... วัดเอาจากตัวที่อยู่ในห้องนั่นแหละ” อันที่จริงน่าจะวัดจาก ‘เจ้าตัว’ มากกว่า
“แต่ฉันไม่เอาแบบนี้ ไม่ชอบสีแบบนี้ด้วย”
“ผมชอบนะ ใส่แล้วเข้ากับคุณดี”
“แต่ฉันเป็นคนใส่ ฉันต้องได้เลือกเองสิ”
“ผมเป็นคนถอด เอ๊ย! เป็นคนจ่ายเงิน” เขารีบแก้ต่าง เมื่อรู้ตัวว่าพูดอย่างที่คิด แต่มันผิดที่ผิดเวลา
“ไอ้!”
“ทั้งหมดหนึ่งพันเก้าสิบเก้าบาท ปิดการขายค่ะ พี่จะไปกินข้าวแล้ว” แม่ค้าแทรกขึ้นมา หรัณย์จึงควักเงินในกระเป๋าจ่ายในทันที
“ขอบใจนะ อะนี่เงินทอน พี่ปิดร้านแล้ว วันหลังมาใหม่นะคะ” แม่ค้ารีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็วก่อนลูกค้าจะเปลี่ยนใจ...
ทั้งที่หญิงสาวยังอ้าปากอึ้งไม่หาย...
“เรียบร้อย ไปกันเถอะ” เขายิ้มให้หล่อนที่ยืนหน้าแดงหน้าดำอยู่ข้าง ๆ มือกำแน่น ทั้งโกรธทั้งอาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเดินตามหลังชายหนุ่มไปติด ๆ
หล่อนยังต้องพึ่งพาเขาอีกเยอะ อย่างน้อย ๆ ชายหนุ่มก็ยอมช่วยเหลือเจือจุน เท่าที่เห็น... เขาอาจไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่ได้อัปรีย์จัญไรเท่าไหร่หรอก
