ตอนที่ 1 : ความจำเป็น
ความจริงจากปากของมารดาทำให้วินารีถึงกับนิ่งอึ้ง...
ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ ชีวิตจะพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างนี้ วินารีเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลวรารักษ์สัตยภิรมย์ เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีด้วยวัยยี่สิบสองปีบริบูรณ์ เช้านี้กำลังจะมาบอกมารดาว่าพร้อมแล้วที่เริ่มเข้าไปเรียนรู้งานในบริษัท แต่กลับถูกตัดหน้าด้วยความจริงที่ว่า ครอบครัวกำลังจะกลายเป็นบุคคลล้มละลาย
หากหาเงินจำนวนสามสิบล้านมาใช้หนี้ไม่ได้ภายในหนึ่งเดือน!
“แม่ขอโทษนะที่ไม่เคยบอกลูกเลย” อรรัมภาพูดเสียงแผ่ว ดวงตาเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม เมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดเหมือนโลกกำลังพังทลายของลูกสาว
“วิ...เอ่อ วิแค่ตั้งตัวไม่ทันค่ะคุณแม่ วิเห็นคุณพ่อคุณแม่ยังไปทำงานที่บริษัททุกวันตามปกติ วิไม่คิดว่าเรา...กำลังแย่” หญิงสาวแทบเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก
“คุณพ่อไม่อยากให้ลูกคิดมากน่ะจ้ะ ตอนที่บริษัทเกิดขาดสภาพคล่องจนต้องกู้เงินมาอุด ลูกกำลังจะเรียนจบ คุณพ่อกับแม่คิดว่าคงหาทางแก้ปัญหากันได้ แต่กลับกลายเป็นว่ามันยิ่งแย่”
“เงินสามสิบล้านมันไม่ใช่น้อยๆ เลยนะคะ”
“ใช่ลูก ก่อนหน้านี้บริษัทติดหนี้อยู่เป็นร้อยล้าน แต่คุณพ่อขายที่ดินกับทรัพย์สินหลายอย่างไปใช้หนี้ จนตอนนี้เหลือแค่สามสิบล้านเท่านั้น”
สามสิบล้านเท่านั้น...เท่านั้นหรือ?
วินารีรู้สึกพะอืดพะอมคล้ายจะอาเจียน ใบหน้าซีดเผือดหนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าบิดามารดานำทรัพย์สินที่มีขายใช้หนี้ไปกว่าเจ็ดสิบล้านบาทแล้ว การที่ท่านตัดสินใจบอกความจริงเรื่องนี้ คงเพราะรู้ดีว่าหมดหนทางแก้ปัญหา ไม่ช้าหรือเร็วเธอก็ต้องรู้เรื่องอยู่ดี จึงได้รีบชิงบอกก่อน
“เรายังมีที่ดินกับเครื่องเพชรมากมายนี่คะคุณแม่ วิว่าถ้าเราขายทุกอย่าง ต้องมีเงินไปใช้หนี้อย่างแน่นอน”
“หมดแล้วจ้ะ ขายทุกอย่างที่มีหมดแล้ว แต่ได้แค่เจ็ดสิบล้านเพราะเป็นการขายแบบเร่งรีบ ถูกกดราคาแต่ก็ต้องยอม” สิ้นประโยคนี้อรรัมภาถึงกับคอตก ได้แต่นั่งมองพื้น ไม่กล้าสบตากับลูกสาวอีก
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะ” วินารีถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ยังพอมีทางอยู่ แต่ว่าแม่...แม่ไม่กล้าขอร้องลูกหรอก”
“ทำไมล่ะคะ?”
“มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันง่ายๆ แม่...แม่ว่าแม่ปรึกษากับคุณพ่อใหม่อีกสักรอบดีกว่า เผื่อจะมีทางอื่นที่ไม่ต้องทำให้ลูกลำบากใจ” ผู้ให้กำเนิดวัยห้าสิบปีดูกระวนกระวายและสับสน วินารีเป็นคนที่ว่าง่ายมาตลอด รักและเทิดทูนบุพการีเป็นที่หนึ่งในหัวใจ หากเอ่ยปากไป คงเหมือนใช้ความเป็นแม่บังคับลูก แต่มันก็มืดแปดด้านไปหมดแล้วจริงๆ
วินารีขยับเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิด ดึงมือที่สั่นเทาของมารดามากุมไว้แน่น เธอยิ้ม เป็นรอยยิ้มหวานละมุนที่มองแล้วรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจอย่างประหลาด ทำเอาอรรัมภาเกือบน้ำตาไหลด้วยความสะเทือนใจ
“คุณแม่พูดมาเถอะค่ะ ไม่มีอะไรลำบากใจเลย ถ้ามันเป็นสิ่งที่วิสามารถทำเพื่อคุณพ่อคุณแม่ได้ อย่าคิดมากสิคะ เวลามีความสุข คุณพ่อคุณแม่ก็นึกถึงวิเป็นคนแรกเสมอ เวลามีความทุกข์ วิก็ควรเป็นคนแรกที่ได้แบ่งเบาเหมือนกันค่ะ” แม้จะเอ่ยอย่างนั้น แต่วินารีก็เตรียมใจตั้งรับอย่างหวั่นไหวไม่น้อย
“ขอบใจนะลูกรัก แต่แม่...”
“พูดมาเถอะค่ะว่าวิจะช่วยให้ครอบครัวเราผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ยังไง” หญิงสาวย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ก็ยังคงนุ่มนวลปราศจากอารมณ์ขุ่นข้องเจือปน
“คือ...วิจำคุณป้าพร้อมพิศได้ไหมลูก” อรรัมภาเงยหน้าขึ้นมองสบตากับลูกสาวอีกครั้ง
“คุณป้าพร้อมพิศ...” วินารีทำหน้าครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ “อ๋อ จำได้ค่ะ คุณป้าพร้อมที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณแม่ แต่นานๆ จะได้เจอกันสักที เพราะคุณป้าอยู่ต่างจังหวัด เวลามาที่นี่ก็ชอบทำขนมหวานอร่อยๆ มาฝาก วิจำได้แม่นเลยค่ะ”
“ใช่จ้ะ แล้ววิจำพี่รักได้ไหม...รักชาติน่ะ”
“จำได้ค่ะ พี่รักแก่กว่าวิตั้งสิบปี แต่ชอบดึงผมเปียวิแล้วก็ล้อวิว่ายัยหมูอ้วนประจำเลย เวลาคุณแม่เผลอ พี่รักก็ชอบแกล้งวิเจ็บๆ แสบๆ ทั้งนั้น ว่าแต่...คุณป้ากับพี่รักมาเกี่ยวอะไรด้วยเหรอคะ” ใบหน้าที่งอง้ำเมื่อพูดถึงคนขี้แกล้งในอดีต เปลี่ยนเป็นงุนงง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าการสนทนาครั้งนี้ควรเป็นการหาทางออกเรื่องหนี้สิน ไม่ใช่ย้อนนึกรำลึกถึงความหลังเสียหน่อย
“เกี่ยวสิลูก เพราะคนที่จะช่วยเราได้ก็มีแค่ป้าพร้อมเท่านั้น”
“ป้าพร้อมช่วยเราได้ นี่มันหมายความว่ายังไงกันคะคุณแม่”
“คือ...” อรรัมภารู้สึกปากหนักขึ้นมาเสียดื้อๆ
วิโรจน์ผู้เป็นสามีที่แอบฟังอยู่นาน ทนไม่ไหวกับความอ้ำอึ้งนั้นจึงเดินเข้ามาสมทบในห้องโถงด้วยคน เขานั่งลงเคียงข้างภรรยา มองสบตากับลูกสาวอย่างเคร่งขรึม มัวแต่อมพะนำไปก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อวินารีเองก็ยินดีทำเพื่อครอบครัวอยู่แล้ว
“ถ้าแม่ไม่กล้าพูดตรงๆ พ่อจะเป็นคนบอกกับลูกเองวิ” เขาเกริ่น
“ว่ามาเถอะค่ะคุณพ่อ วิกำลังรอฟังอยู่”
“ก็อย่างที่แม่บอกนั่นแหละลูก ครอบครัวเรากำลังลำบากมาก เราก็เลยต้องพึ่งพาคนที่ช่วยได้ พ่อกับแม่มองไม่เห็นใครที่ไหนแล้ว นอกจากป้าพร้อม แต่ว่ามันก็มีข้อแลกเปลี่ยนที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง มีแค่ลูกเท่านั้นที่จะช่วยได้ นั่นก็คือลูกจะต้องแต่งงานกับรักชาติ แล้วรีบตั้งท้องให้เร็วที่สุด”
“อะไรนะคะ! แต่งงานเหรอคะคุณพ่อ” วินาทีอุทานลั่นด้วยความตกใจ ใบหน้าซีดเผือดทันตาเห็น
“ใช่ ป้าพร้อมบอกว่าจะช่วยเรื่องเงินสามสิบล้าน โดยจะถือว่าเป็นสินสอดสำหรับสู่ขอลูกให้กับรักชาติ”
“สินสอด...ตั้งสามสิบล้านเนี่ยนะคะ นี่ป้าพร้อมคิดอะไรอยู่”
“ก็คงอยากให้ลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝามากนั่นแหละ รักชาติอายุสามสิบสองปีแล้ว แต่ยังไม่ยอมคบหากับใคร ป้าพร้อมบอกว่าอยากอุ้มหลานเต็มแก่แล้ว เลยอยากให้ลูกชายรีบแต่งงานมีลูกเสียที ดูๆ ผู้หญิงที่เหมาะสมมาหลายคน แต่ก็ไม่ถูกใจใครสักคน พอดีว่าพ่อกับแม่ไปหาป้าพร้อมที่บ้านเพื่อปรึกษาเรื่องนี้ ป้าพร้อมถามถึงวิ รู้ว่าวิเรียนจบแล้วก็เลยอยากขอวิไปเป็นลูกสะใภ้ เพราะรู้ว่าวิเป็นผู้หญิงรักนวลสงวนตัว ตั้งใจเรียน ไม่เคยทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง แล้วก็เป็นคนที่คุ้นเคยกับรักชาติมาก่อน น่าจะเข้ากันได้ง่ายกว่าคนอื่น”
“วิว่าไม่หรอกค่ะ พี่รักชอบแกล้งวิจะตายไป” หญิงสาวทำหน้าเข็ดขยาด
“นั่นมันเมื่อสิบกว่าปีก่อนนะลูก ตอนนี้พี่เขาโตแล้ว เขาไม่เล่นอะไรแผลงๆ หรอกน่า” วิโรจน์บอกกับลูกสาว
“ว่ายังไงลูก วิจะตกลงทำตามที่ป้าพร้อมขอหรือเปล่า”
อรรัมภาถามด้วยหัวใจที่เต้นรัว หากบุตรีปฏิเสธก็คงไม่มีสิทธิ์ไปบีบบังคับ เพราะการแต่งงานร่วมหอกับใครสักคน มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่มันเป็นชีวิตทั้งชีวิต หากแต่งงานกับรักชาติแล้วมีความสุขดี คนเป็นพ่อแม่ก็พลอยดีใจด้วย แต่ถ้าตรงกันข้าม หัวอกของบุพการีก็คงตรอมตรมไม่น้อยเช่นกัน
วินารีนิ่งไป มองสบตากับบิดามารดาอย่างกระอักกระอ่วน ข้อแลกเปลี่ยนของป้าพร้อมถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ใช่แค่แต่งงาน แต่ยังต้องรีบมีทายาทตัวน้อยโดยเร็วที่สุดด้วย เธอยังไม่ได้ใช้ชีวิตในวัยสาวให้คุ้มค่าเลย จะต้องกลายเป็น ‘นาง’ ทันทีที่เรียนจบเลยอย่างนั้นหรือ แต่ก็โชคดีอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เธอยังไม่มีคนรัก ไม่ได้ตกลงคบหากับใครก็ตามที่เข้ามาจีบ หากตัดสินใจยอมแต่งงานกับรักชาติจริงๆ เธอจึงไม่มีปัญหาเรื่องหัวใจมาเป็นตัวถ่วง
“ว่ายังไงวิ ลูกไม่ต้องฝืนใจนะ ถ้าลูกไม่เต็มใจ พ่อจะพยายามหาทางอื่นเอง” บิดาถามอย่างลุ้นระทึก แม้ปากจะพูดไปอย่างนั้น แต่ใจกลับภาวนาขอให้วินารีตอบตกลง ไม่ใช่เพราะกลัวตัวเองจะกลายเป็นบุคคลล้มละลาย แล้วต้องลำบากตอนแก่ แต่เขาเป็นห่วงความเป็นอยู่ของลูกสาวเพียงคนเดียวต่างหาก คนเป็นพ่อเป็นแม่คงทนไม่ได้แน่ หากต้องทนเห็นลูกสาวตกระกำลำบาก
“วิ...” หญิงสาวลังเล เมื่อเห็นแววตาเว้าวอนของบุพการีทั้งสอง เธอก็ยิ่งคิดหนัก
“เอาไว้ค่อยตอบก็ได้ลูก” อรรัมภาพอเข้าใจวินารีอยู่เหมือนกันว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากเย็นเพียงใด
“ตกลงค่ะ วิจะแต่งงานกับพี่รัก คุณพ่อคุณแม่บอกป้าพร้อมได้เลยค่ะ”
ในที่สุดเธอก็เลือกที่จะช่วยครอบครัวให้ผ่านวิกฤติครั้งนี้ไป เชื่ออย่างหนึ่งว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา เธอไม่เคยคิดร้ายกับใคร ไม่ใช่คนเลวที่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ฉะนั้นสวรรค์คงไม่ส่งเธอให้ไปพบเจอกับเรื่องแย่ๆ แน่ บางทีการตัดสินใจในครั้งนี้อาจจะทำให้รู้สึกโชคดีในภายภาคหน้าก็ได้
รักชาติดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงนอนในตอนสายโด่ง หลังจากมารดามายืนเท้าเอวอยู่ข้างเตียง แล้วยื่นมือมาบิดหูของเขาสุดแรงจนตาสว่างขึ้นมาในทันใด ชายหนุ่มทำหน้ายุ่ง คลำหูตัวเองป้อยๆ ด้วยความหัวเสีย อะไรกัน...ขอนอนตื่นสายสักวันไม่ได้เลยหรือ ทำไมต้องเล่นบทโหดแบบนี้ด้วย
แม่นะแม่...
“ไม่ต้องมาทำหน้ามุ่ยเลยนะ ไป...ไปอาบน้ำแต่งตัว เราต้องเข้ากรุงเทพกันแล้ว”
“แม่ก็ให้ไอ้นายมันพาไปสิครับ ผมง่วง เมื่อคืนเคลียร์งานจนดึกดื่น” ชายหนุ่มแย้งเสียงขุ่น
“จะเอาอีกหูไหมรัก แม่จัดให้ได้นะ เอาให้ขาดเลยก็ยังได้” พร้อมพิศขู่ลูกชายด้วยการยื่นมือไปใกล้ๆ อีกรอบ
“พอๆๆ ครับ พอแล้ว ไปก็ได้ ว่าแต่แม่จะไปไหน ไปทำอะไร”
คนตัวสูงใหญ่กำยำลุกจากเตียงนอน บิดขี้เกียจซ้ายขวา ขยับเข้าไปจุมพิตเบาๆ ที่ข้างแก้มอวบอิ่ม แล้วมองสบตากับมารดาที่รักยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก ถึงเขาจะชอบแกล้ง ชอบกวนประสาท แต่ยืนยันได้เลยว่าไม่มีใครรักผู้หญิงสูงวัยที่ชื่อพร้อมพิศได้มากเท่ากับเขาแน่
“ไปบ้านน้าอรกับน้าโรจน์น่ะสิ” พร้อมพิศบอกแล้วตีแขนลูกชายตัวดีเบาๆ
“ไปทำไมครับ ผมจำได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเขาเพิ่งมาหาแม่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ” คิ้วเข้มที่พาดเฉียงอยู่เหนือดวงตาคมกริบขมวดชนกันด้วยความสงสัย
“ไปคุยเรื่องแต่งงาน”
“แต่งงาน?...ใครจะแต่งงานเหรอแม่”
“ก็แกนั่นแหละไอ้ตัวแสบ แม่จะให้แกแต่งงานกับลูกสาวน้าอร” พร้อมพิศเอ่ยออกมาราวกับว่านั่นเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย
“ฮะ! แม่ว่ายังไงนะ จะให้ผมเนี่ยนะแต่งงาน!” เขาทำหน้าตื่นยิ่งกว่าถูกผีหลอกเสียอีก
“แม่ทาบทามไว้แล้ว ทางนั้นตกลงแล้วด้วย เพิ่งจะโทร.มาบอกเมื่อสักพักนี่เอง”
“แม่!” รักชาติปราดเข้ามาคว้าต้นแขนทั้งสองข้างของมารดาไว้แน่น
“อะไรเล่า! ตะโกนหาพระแสงอะไร ยืนอยู่ใกล้กันแค่นี้” พร้อมพิศใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากลูกชายแรงๆ
“แม่ไปตกลงอะไรโดยที่ไม่ถามผมได้ยังไง ไม่เอาหรอก ผมไม่แต่ง”
“ต้องแต่ง”
“ไม่เด็ดขาด!”
“ไอ้รัก!”
“อ้าวแม่ อย่ามาขึ้นไอ้สิ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ เรื่องแต่งงานมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม่จะมาคิดแทนผมได้ไง”
“ที่แม่ต้องคิดแทน เพราะแกมัวแต่ทำตัวเสเพลไง ไม่ต้องมาแย้งเลยนะ ไม่ว่ายังไงแกก็ต้องแต่งงานกับหนูวิ อายุป่านนี้แล้วจะเก็บความโสดไว้กินกับข้าวต้มหรือไงฮะ!”
“ไม่เอานะแม่ ผมไม่ชอบยัยหมูอ้วนนั่นเลย หล่อๆ อย่างผมถ้าจะมีเมียทั้งที ขอที่มันหุ่นดี นมโตๆ หน่อยไม่ได้หรือไง แต่ก็ไม่เอาหรอก พวกผู้หญิงชอบทำให้ปวดหัวอยู่เรื่อย เออแม่...ผมเป็นเกย์นะรู้ยัง ผมชอบผู้ชาย แม่อย่าบังคังให้ผมไปแต่งงานกับผู้หญิงเลยนะครับ”
“เป็นเกย์ใช่ไหม งั้นดีเลย แม่จะได้โทร.ไปยกเลิกเรื่องแต่งงานกับน้าอร แล้วหาผู้ชายสักคนมาให้แกแต่งงานด้วย เอาแบบล่ำๆ ตัวใหญ่กว่าแกเลยดีไหม รับรองว่าได้ร้องโอดโอยทั้งคืนแน่ ขี้ทีคงแสบไปยันไข่ ชอบแบบนั้นใช่ไหมฮะไอ้รัก!” พร้อมพิศงัดไม้เด็ดขึ้นมาข่มขวัญลูกชาย เป็นแม่ผู้ให้กำเนิด เลี้ยงดูมานานถึงสามสิบสองปี มีหรือที่จะไม่รู้จักนิสัยใจคอของลูกในไส้
“แม่!”
เขาเรียกคำคุ้นเคยนั้นด้วยความขัดใจ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงตรงขอบเตียงนอน สองมือประสานกันอยู่ระหว่างกลางของขาทั้งสองข้าง ก้มหน้าต่ำลงราวกับคนหมดสิ้นหนทาง
พร้อมพิศถอนหายใจขณะเดินไปนั่งเคียงข้างลูกชาย ตั้งใจว่าจะคุยดีๆ และเป็นแก่นสารดูสักครั้ง ไม่ใช่หยอกล้อกันเหมือนที่ทำประจำจนติดเป็นนิสัย พร้อมพิศเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาตั้งแต่รักชาติอายุได้ห้าขวบ สามีตายจากไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ในคืนวันฝนตกหนัก พร้อมพิศจึงเป็นทุกอย่างในชีวิตของลูก เลี้ยงดูกันมาอย่างเรียบง่าย ให้อิสระทางความคิด แต่มีความสนิทสนมกันอย่างมาก สำหรับรักชาติแล้ว พร้อมพิศเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ และเป็นเสมือนเพื่อนรู้ใจด้วย
“ฟังแม่นะรัก ที่ผ่านมาแม่ไม่เคยขออะไรรักเลย แม่ให้อิสระรักทุกอย่าง แต่สำหรับเรื่องนี้ รักเชื่อแม่เถอะนะ” มืออวบอูมเลื่อนไปแตะที่มือของลูกชาย ไม่บ่อยนักหรอกที่แม่ลูกจะแสดงออกต่อกันด้วยความอ่อนโยน ส่วนมากจะเน้นจิกกัดแบบแมนๆ กันเสียมากกว่า
“ผมไม่อยากแต่งงาน” เขาบีบมืออบอุ่นนั้นแน่น แล้วหันมามองสบตา
“แต่แม่อยากให้แต่ง แม่อยากอุ้มหลาน แม่อยากเห็นลูกชายที่แม่รักมากกว่าชีวิตเป็นฝั่งเป็นฝา แม่อายุเยอะแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปได้อีกนานแค่ไหน แม่ก็เลยอยากเห็นรักได้มีคนดีๆ คอยเคียงข้าง มีลูกให้แม่ได้ช่วยเลี้ยงช่วยอุ้มก่อนตาย ชีวิตของคนแก่ สิ่งที่หวังก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้เห็นลูกหลานมีความสุขหรอกนะรัก”
“แม่...” รักชาตินิ่งอึ้งไป เมื่อฟังถ้อยคำอ่อนโยนจากมารดาในแบบที่ไม่คาดฝันมาก่อนว่าจะได้ยิน
“เชื่อแม่เถอะน่าไอ้ตัวแสบ หนูวิเหมาะกับรักที่สุดแล้ว”
“โธ่ แม่ บอกแล้วไงว่าผมไม่ชอบยัยหมูอ้วนนั่น”
“ไปว่าน้องแบบนั้น เคยเจอกันแล้วหรือไงฮึ ตอนเด็กๆ อ้วน แต่โตแล้วอาจจะสวยหยดย้อยก็ได้”
“ไม่รู้แหละแม่ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ”
“สรุปจะไม่ยอมแต่งจริงๆ ใช่ไหม ถึงแม่จะขอร้อง รักก็ไม่ยอมใช่ไหม”
พร้อมพิศไม่ได้เอ่ยเสียงแหลมเหมือนอย่างที่ชอบทำ แต่คราวนี้น้ำเสียงฟังดูเศร้าสลดอย่างที่ไม่เป็นมาก่อน รักชาติเม้มปากแน่น มองมารดาที่กำลังทำหน้าเสียใจแล้วก็แสนจะอึดอัด
รักชาติเคยมีคนรักที่คบหากันมานานเกือบสามปี เธอชื่อว่าลดาวรรณ แต่ก็เลิกรากันไปเพราะเจ้าหล่อนแอบหลับนอนกับชายอื่น หักหลังความรักของเขาอย่างเจ็บแสบ มารดารู้ว่าเขาเคยมีแฟน แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเหตุใดทั้งคู่จึงเลิกกัน รักชาติไม่อยากให้แม่ต้องคิดมาก จึงบอกเหตุผลไปว่าเข้ากันไม่ได้ในหลายๆ อย่าง
นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยคิดจะคบหากับผู้หญิงคนไหนอีก ปล่อยให้หัวใจที่เคยเจ็บช้ำรักษาเยียวยาตัวมันเองจนหายดี แต่ก็เข็ดขยาดกับความรักจนไม่คิดจะเปิดใจให้ใครอีก
จะว่าไป...แต่งงานกันแค่ในนามเพื่อตามใจแม่เฉยๆ ก็ได้นี่
ไม่จำเป็นต้องรัก ไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยว...
แต่งงานแล้วก็แยกกันนอนคนล่ะห้อง ไม่สุงสิงกัน แบบนี้ดูท่าคงจะวินๆ กันทั้งสองฝ่าย ส่วนเรื่องที่แม่บ่นว่าอยากอุ้มหลาน ถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ ก่อนแล้วกัน ไม่ใช่ว่าไม่เห็นใจคนแก่ แต่ถ้าให้ทำอะไรที่มันฝืนใจตัวเองมากๆ รักชาติเองก็คงทนไม่ไหวเหมือนกัน ในความทรงจำของเขา เด็กอ้วนที่ชอบถักผมเปียสองข้างตลอดเวลานั่น ไม่ใช่สเปคเอาเสียเลย
“นั่นแม่จะไปไหนครับ” ชายหนุ่มร้องถาม เมื่ออีกฝ่ายลุกจากเตียงแล้วเดินไปยังประตูห้อง
“ลงไปข้างล่างน่ะสิ พูดไปก็เปล่าประโยชน์” พร้อมพิศเอ่ยโดยไม่หันหลังกลับมามอง
“อย่างอนไปหน่อยเลยน่า”
“เปล่า” คราวนี้มือเลื่อนไปแตะที่ลูกบิดประตูแล้ว นางเม้มปากแน่น ลุ้นระทึกว่าลูกชายจะยอมเปลี่ยนใจหรือไม่
“เดี๋ยวสิแม่!” รักชาติเดินตามไป แล้วสวมกอดร่างอวบของมารดาไว้แน่น
“ปล่อยเถอะ ไม่อยากคุยด้วยแล้ว” ว่าแล้วก็แกะมือที่โอบรอบเอวออกอย่างไม่ใยดี
“แต่งก็ได้แม่ ผมยอมแล้ว ผมจะแต่งงานกับยัยนั่น”
“จริงเหรอ!” พร้อมพิศหันกลับมามองสบตากับลูกชาย รอยยิ้มกว้างขึ้นโดยอัตโนมัติ
“แหม ยิ้มหวานเชียวนะคุณนายพร้อม” นิ้วเรียวยาวแบบผู้ชายบีบแก้มนิ่มของคนเป็นแม่เบาๆ
“แกไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมรัก พูดจริงใช่ไหมว่าจะยอมแต่งงาน”
“จริงสิแม่ แต่เรื่องมีลูก ขอเวลาผมทำใจหน่อยนะ แม่ก็รู้นี่นาว่าผมไม่ค่อยชอบเด็ก วุ่นวาย หนวกหู”
“ได้ แม่จะให้เวลาแก แต่รับปากแล้วห้ามเบี้ยวนะ ไม่งั้นโดนบิดหูขาดแน่”
“ไม่เบี้ยวหรอกน่า แต่ว่าตอนนี้ลงไปทำอะไรไว้ให้กินหน่อยสิแม่ อาบน้ำเสร็จเดี๋ยวผมตามลงไป”
“ทำไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว โจ๊กทะเลอย่างที่แกชอบนั่นแหละ”
“น่ารักที่สุดเล้ย!” รักชาติโน้มใบหน้าลงไปจูบข้างแก้มมารดา เวลาอยู่ด้วยกัน เขามักทำตัวสนุกสนานและขี้อ้อนราวกับเด็กๆ แต่เวลาที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาจะกลายเป็นคนที่นิ่งขรึมและดูเป็นผู้ใหญ่กว่านี้มาก
“ไม่ต้องมาปากหวาน ไปอาบน้ำเลย”
“ผมขออะไรอีกสักอย่างหนึ่งได้ไหมครับ” เขาไม่ตอบ แต่กลับขอร้องแทน
“อะไรอีกเล่า ไอ้ลูกคนนี้นี่”
“ขอเบอร์โทร.ของยัยหมูอ้วนหน่อยสิครับ ผมอยากโทร.ไปทำความคุ้นเคยหน่อย”
“ไม่ดีหรอกมั้ง ปากแมวๆ อย่างแก เดี๋ยวได้ทำเสียเรื่องกันพอดี”
“ไว้ใจผมบ้างก็ได้หรอกแม่ ผมแค่อยากคุย ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบเท่านั้นเอง”
“แน่ใจเหรอ?” พร้อมพิศเหล่ตามองลูกชายอย่างจับผิด
“แน่ใจสิครับ ก่อนที่จะไปเจอตัวเป็นๆ ผมคิดว่าควรคุยกันเพื่อตั้งหลักก่อน ถึงเวลาที่ได้เจอกันจะได้ไม่ประหม่าไงครับ” เหตุผลนี้ฟังดูเข้าท่าไม่น้อย พร้อมพิศชี้นิ้วคาดโทษเอาไว้ล่วงหน้า แต่ก็ยอมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นส่งให้กับชายหนุ่มจนถึงมือ
“กดโทร.ออกไปที่เบอร์ของน้าอรได้เลยนะ แล้วค่อยขอสายน้อง แม่ไม่มีเบอร์น้องโดยตรงหรอก แล้วก็รีบโทร. รีบคุย แล้วก็รีบไปอาบน้ำล่ะ อย่ามัวโอ้เอ้ เพราะกว่าเราจะไปถึงกรุงเทพฯ ก็คงบ่ายแก่โน่นแหละ อย่าลืมเตรียมเสื้อผ้าไปด้วยนะ แม่ว่าเราน่าจะต้องค้างที่นั่นกันสักคืน”
เมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเชิดหน้าขึ้นพร้อมทำท่าตะเบ๊ะรับ คนเป็นแม่ก็หัวเราะขบขันแล้วเดินออกจากห้องไปทันที เมื่อได้อยู่เพียงคนเดียว รักชาติก็หุบยิ้มฉับ ยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิง
แม่นะแม่...
....................................................................................................................................................
