บทที่ 9 น้ำตาลปั้นช่างขมยิ่งนัก
“เจ้างดงามยิ่งนัก”
“นี่หรือบุตรสาวขุนนาง ถอดเสื้อผ้านาง”
“กลืนเข้าไป น้ำของข้ากลืนไปให้หมด”
“ครางอีก หรงหลิน ครางออกมา”
“หรงหลิน หรงหลิน นางโลมชั้นต่ำ หรงหลินมาหาข้า หรงหลินครางออกมา”
“ข้าชื่อเฉินฟางหรง ไม่ใช่หรงหลิน”
“จะเฉินฟางหรง หรือหรงหลิน เจ้าก็แค่นางโลม ร่างกายของเจ้าผ่านผู้ชายมาเท่าไหร่แล้วจำไม่ได้หรือ”
“ไม่ข้าไม่ได้”
“หญิงเช่นเจ้าจะผู้ใดต้องการ ขนาดคนที่เจ้ารักปักใจ เช่น ตงหยางยังรังเกียจเจ้า”
ฟางหรงที่หลับอยู่สะดุ้งตื่นทันที นางหอบหายใจก่อนจะมองไปรอบ ๆ ห้องเมื่อพบว่าเป็นห้องของนางเองก็ถอนหายใจออกมา หน้าของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ
“ฟางหรง เจ้าแค่ฝันร้าย”
ฟางหรงพูดปลอบใจตัวเอง พลางนึกถึงฝันของนาง ภาพในอดีตยามนางต้องรับแขกและถูกบังคับให้อุ่นเตียงฉายขึ้นมาในหัว เสียงของบุรุษมากมายดังก้องในหัวของนาง ฟางหรงในตอนนี้รู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา ยามนึกถึงใบหน้าของบุรุษมากมาย มือทั้งสองนางสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“ข้าชื่อเฉินฟางหรง ไม่ใช่หรงหลิน”
ฟางหรงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หรงหลินคือชื่อยามนางเป็นนางโลม นางอยากจะลืมอดีตและฝันร้ายให้หมดสิ้นเสียที ฟางหรงพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองไว้ นางหายใจเข้าออกเพื่อเรียกสติของตัวเอง
“ข้าคือฟางหรง ข้าคือฟางหรง”
ฟางหรงลูบที่หน้าอกของนางเบา ๆ ไม่รู้เพราะอะไรตอนนี้จมูกของนางได้กลิ่นหอมจาง ๆ แต่ยิ่งดมกลิ่นนั้น อาการของนางที่ดูตื่นกลัวก็ค่อย ๆ หายไป ในตอนนี้มือของนางไม่ได้สั่นเทาและไม่มีอาการกลัวอีกแล้ว ฟางหรงมองไปทั่วห้องแต่ไม่พบที่มาของกลิ่นหอม
“ข้าคงบ้าไปแล้วจริง ๆ ”
ฮ่าวตูที่อยู่ด้านบนมองฟางหรงที่พึมพำกับตัวเอง เขาโรยผงสีขาวไปในอากาศอีกครั้ง ไม่นานฟางหรงก็หลับไป เมื่อเห็นว่าฟางหรงในตอนนี้หลับสนิทแล้ว ฮ่าวตูก็ลงไปด้านล่างทันที
“คุณหนู ท่านมีเรื่องอะไรในใจกัน...”
ฮ่าวตูพูดออกมาเสียงเรียบ เดิมทีเขาเป็นเพียงเงาส่วนตัวของฟางหรงที่เทียนอี้เลือกมา การที่ฟางหรงจะรู้การมีอยู่ของเขานั้นต้องมีสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้หรือนางอายุยี่สิบแล้วเท่านั้น และคำสั่งเดียวที่เขาต้องจำคือปกป้องหญิงสาวตรงหน้า
หลายวันต่อมา
“เจ้าได้ยินเรื่องคุณหนูผู้นั้นหรือยัง”
“มีผู้ใดไม่รู้บ้าง นางช่างน่าละอายนัก”
“ใช่ข้าได้ข่าวว่านางเข้าหอนางโลมแทบทุกวัน”
“ข้าได้ยินว่านาง ประกาศจะแต่งบุรุษเข้าจวน”
เสียงของชาวบ้านและแม่ค้า ต่างพูดถึงเฉินฟางหรงไปทั่ว จนมีผู้คนตั้งฉายาให้นางเป็นสตรีหน้าไม่อาย
“คุณหนูข้าว่าเรากลับไปที่จวน”
ซูลี่พูดออกมา นางมองฟางหรงด้วยความเป็นห่วง คุณหนูของนางไม่ควรต้องมาฟังคำพูดเช่นนี้ เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะ เจ้าโง่ตงหยางคนเดียว เข้าหอนางโลมอะไรกันคุณหนูของข้าไม่เคยแม้แต่จะย่างกายเข้าไปด้วยซ้ำ
“ช่างเถอะ แม้พวกเขานินทาก็ใช่ว่าจะรู้ว่าข้าคือใคร”
ฟางหรงพูดออกมาเสียงเรียบ อาจเป็นเพราะนางไม่ค่อยออกจากจวนเลยทำให้มีชาวบ้านส่วนน้อยที่จะรู้ว่าคุณหนูเฉินหน้าตาเป็นเช่นไร นางเดินตรงไปที่ร้านเครื่องประดับ ก่อนจะสะดุดตากับปิ่นหยกสีขาวนวล ฟางหรงหยิบปิ่นขึ้นมามองอย่างพอใจ แต่ยังไม่ทันจ่ายเงินก็ถูกใครบางคนดึงออกจากมือไป
“พ่อค้า ข้าเอาปิ่นนี้”
“เจ้าไม่เห็นหรือไงว่าคุณหนูข้าถืออยู่”
ซูลี่ที่เห็นเหตุการณ์ก็พูดขึ้น หญิงสาวตรงหน้าเพียงยิ้มออกมา ก่อนจะมองไปที่ฟางหรง
“ถืออยู่แล้วอย่างไร หากยังไม่จ่ายเงินนั่นถือว่าไม่ใช่เจ้าของ ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรถ้าข้าอยากได้ไม่เคยไม่ได้”
พูดจบนางก็วางเงินไว้และเดินออกไป
“มีคนหน้าด้านเช่นนี้อยู่อีกหรือ”
“ช่างเถิด”
ฟางหรงในตอนนี้ ไม่มีอารมณ์ที่จะไปทะเลาะกับผู้ใดแล้ว นางยังคงสับสนและรู้สึกไม่ดี ซูลี่เดินตามฟางหรงไปเงียบ ๆ แม้จะรู้สึกเป็นห่วง แต่ก็ไม่กล้าที่เอ่ยออกไป
“ซูลี่ข้าอยากกินน้ำตาลปั้น”
“..........”
“เจ้าว่าจะอร่อยเหมือนที่พี่หยางทำให้ข้าหรือไม่”
ฟางหรงพูดออกมาอย่างแผ่วเบา ซูลี่ที่ได้ยินเงยหน้ามองฟางหรงด้วยแววตาสงสาร น้ำตาลปั้นของที่เจ้าโง่นั่นใช้ล่อลวงความรู้สึกของคุณหนู....
“คุณหนูข้าว่า....”
“ไปซื้อกันเถอะ”
ฟางหรงมองน้ำตาลปั้นตรงหน้าก่อนจะซื้อน้ำตาลรูปกระต่ายมา
“ท่านพี่ตงหยาง ปักปิ่นให้ข้าหน่อยเจ้าค่ะ”
ตงหยาง?? ฟางหรงที่กำลังกินน้ำตาลปั้น เมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นเลยก็หันไปทางต้นเสียงทันที
“คะ...คุณหนูข้าว่าเรากลับจวนดีหรือไม่เจ้าคะ”
ซูลี่ที่เห็นภาพตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นมาทันที ฟางหรงเองก็มองภาพตรงหน้า รอยยิ้มที่เคยมีตอนนี้ก็ค่อย ๆ หายไป นางกำไม้น้ำตาลปั้นในมือแน่
“ตงหยาง....”
ฟางหรงเรียกออกมาอย่างแผ่วเบา แต่อาจจะเพราะตงหยางเองไม่ได้อยู่ไกลเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็หันมาทันที เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่คือใครปิ่นที่อยู่ในมือของเขาก็ล่วงลงพื้นทันที
“ท่านพี่ ปิ่นข้า ปิ่นถ้าหักขึ้นมาจะทำเช่นไร”
หญิงสาวพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ แต่ตงหยางผู้เป็นสามีไม่ได้สนใจนางแต่อย่างใด เขาเพียงมองไปที่ฟางหรงที่ตอนนี้มองมาที่เขาเช่นกัน คิดถึง มีเพียงคำนี้เท่านั้นที่อธิบายแววตาของทั้งสองได้
“นั่นบุตรสาวอาจารย์ท่านใช่ไหมเจ้าคะ เข้าไปทักทายคุณหนู สักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะท่านพี่”
เจินเจินพูดออกมา นางกอดที่แขนของตงหยางก่อนจะยิ้มยกไปท่านฟางหรง ใช่นางรู้ถึงความสัมพันธ์ของตงหยางและฟางหรง ในวันแต่งงานหากนางไม่ตามตงหยางออกมา ก็คงไม่รู้ว่าหญิงไร้ยางอายผู้นี้จงใจจะแย่งสามีนาง!!
“อยู่ในที่ของเจ้าไป”
ตงหยางพูดออกมาเสียงเรียบ ด้านฟางหรงเองกลับมองเป็นภาพตงหยางและภรรยาหยอกล้อกันหวานชื่น
“เหอะเจ้าโง่นั่น!!!! แล้วหญิงผู้นั้น คนที่มาแย่งปิ่นนิเจ้าคะ หนอย!!! คุณหนูรอตรงนี้นะเจ้าคะ ข้าจะไปจัดการเอง”
ซูลี่พูดออกมาอย่างหัวเสีย ฟางหรงเองก็ยังมองภาพตรงหน้า นางเม้มปากแน่นขาทั้งสองของนางตอนนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะเดินหนี แม้ปากที่จะห้ามซูลี่ยังสามารถเอ่ยได้ ใครก็ได้พาออกไปจากที่นี่ที
พรึบ!!!
“คุณหนู ข้ามารับกลับจวน”
ฮ่าวตูที่ยืนมองสถานการณ์อยู่นาน ในตอนนี้เขาทนไม่ได้อีกต่อไปแล้วคุณหนูของเขาไม่ควรต้องมาเจอแบบนี้ ฮ่าวตูจับมือฟางหรงแน่น ก่อนจะจูงมือให้เดินตามเขามา
“เจ้า เจ้าจะพาคุณหนูไปไหน”
จวนสกุลเฉิน
ฟางหรงในตอนนี้ยังคงนั่งเหม่อลอย ในมือของนางยังคงถือน้ำตาลปั้นรูปกระต่ายแน่น ฮ่าวตูมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความสงสารจับใจ แม้เขาจะบอกว่าตัวเองเป็นใครเด็กสาวตรงหน้าก็ทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น
“คุณหนู สาวใช้ของท่านกำลังไปตามหมอ เดี๋ยวข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านก่อน”
ฟางหรงไม่ได้ตอบอะไร นางเพียงพยักหน้าเท่านั้น ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้ง
“เจ้าชอบกินน้ำตาลปั้นหรือไม่”
“ข้า....ไม่เคยกิน”
“เช่นนั้นหรือ มันอร่อยมากเลยนะ ข้าชอบที่สุด ในยามข้าเศร้าหรือเสียใจ พี่หยางจะลงมือทำน้ำตาลปั้นมาเอาใจข้า”
ฟางหรงยิ้มเศร้า ๆ ก่อนจะมองไปที่น้ำตาลปั้นในมือ นางเม้มปากแน่น น้ำตาที่เคยกลั้นไว้ตอนนี้ไหลรินอาบสองแก้มของนาง
“แต่ไม่รู้ทำไม น้ำตาลปั้นวันนี้ช่างขมยิ่งนัก”
ฟางหรงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแม้น้ำตาจะไหลแต่นางยังคงยิ้มออกมา
“เหตุใดจึงขมเช่นนี้”
ฮ่าวตูมองฟางหรง ตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น อยากฆ่าคนที่ทำให้ฟางหรงเสียน้ำตาเช่นนี้
“ทั้งที่เคยชอบขนาดนั้น”
ฮ่าวตูยืนมองฟางหรงที่ร้องไห้อยู่ นางเอาแต่ตัดพ้อเรื่องน้ำตาลปั้นซึ่งเขาก็รู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร หากไม่ใช่เพราะอาจารย์คนเดียวกัน ข้าคงฆ่าเจ้าไปแล้วตงหยาง!!! หากรู้ว่าเจ้านั่นจะทำให้คุณหนูเจ็บปวดเช่นนี้ เขาคงรายงานเรื่องที่ทั้งสองมีใจให้กันให้นายท่านรับรู้ การที่คุณหนูเป็นเช่นนี้เขาก็มีส่วนผิดเช่นกัน
