บทที่ 3
ราชนิกุลหนุ่มเหยียบคันเร่งรถยนต์แลนด์โรเวอร์แบบสปอร์ตสมรรถนะสูงเหมาะสำหรับการวิ่งบนผืนทราย จนมิดคันเร่งด้วยความโกรธจัด กับการตัดสินพระทัยของพระบิดา ที่คิดจะอภิเษกใหม่กับหญิงสาวรุ่นราวคราวลูก
พอควบรถห้อตะบึงกลับมาถึงตำหนัก ซึ่งสร้างอยู่ติดกับทะเลสาบตามธรรมชาติ หรือที่เรียกว่าโอเอซิส และมีหมู่บ้านเล็กๆ อีกราวห้าสิบหลังคาเรือน สร้างอยู่รายรอบโอเอซิสแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวๆ 100 ไมล์ ก็เบรกรถเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนเหล่าองครักษ์ที่ทำงานอยู่ภายในตำหนัก โดยเฉพาะองครักษ์เอกนาฟฟาล บาซิซ ฟาติสส์ ซึ่งเป็นองครักษ์เอกคอยอยู่รับใช้เจ้าชายคามิลตั้งแต่พระเยาว์ ต้องรีบวิ่งออกมาดูด้วยความตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านหน้าตำหนัก
“เจ้าชายเกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ ทำไมถึงมีสีพระพักตร์บูดบึ้งเช่นนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“อยากฆ่าคนโว๊ย!”
คำตอบที่หลุดออกมาจากพระโอษฐ์สีสด ทำเอาองครักษ์นาฟฟาล และองครักษ์อีกหลายคนต้องผงะตกใจ รู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ ต้องพากันถอยห่างให้ไกลจากฝ่าพระบาทของเจ้าเหนือหัวให้ได้มากที่สุด
แม้จะหวั่นเกรงกับฝ่าพระบาทหนักๆ ของเจ้าชายหนุ่ม กระนั้นองครักษ์นาฟฟาลก็รีบเดินตามเจ้าชายคามิลไปติดๆ โดยไม่ลืมหลุดปากเอ่ยถามพระองค์ด้วย
“ใครทำให้เจ้าชายทรงกริ้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ถึงตรัสว่าอยากจะฆ่าคนนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้หญิง! ว่าที่แม่เลี้ยงของเรา”
เจ้าชายคามิลตรัสตอบสั้นๆ สุรเสียงห้วนจัด พลางส่งสายตาให้องครักษ์อีกคนที่อยู่แถวๆ นั้น ได้รินบรั่นดีรสนุ่มมาให้พระองค์ดื่มดับความร้อนรุ่มในพระวรกาย
ส่วนองครักษ์นาฟฟาล พอได้ยินเจ้าเหนือหัวตรัสตอบเช่นนั้นก็ถึงกับเบิกตาโต ตะโกนร้องเสียงหลงด้วยความตกใจไม่แพ้กัน
“ฮ้า! ว่าที่แม่เลี้ยง”
ชายชาตินักรบขยับกายเข้าไปใกล้เจ้าเหนือหัวอีกนิดหนึ่ง ก่อนจะถามต่อโดยไม่พึงสังวรว่าตนเองกำลังจะโดนกระทืบ! เพราะคำถามนี้
“เจ้าชายคงไม่ได้หมายถึงคนที่จะมาอภิเษกกับท่านชีคใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ไอ้นาฟฟาล! ต้องโดนเตะก่อนใช่ไหม รอยหยักในสมองของเจ้า ถึงจะทำงานได้อย่างเต็มที่”
เจ้าชายคามิลแผดเสียงตะโกนด่าดังลั่น พอรับบรั่นดีจากองครักษ์มาได้แล้ว ก็สาดเข้าลำคอรวดเดียวหมดแล้ว ก่อนจะยื่นให้องครักษ์รินมาให้ใหม่
เจอพายุเล็กๆ ลูกแรกเข้าไป องครักษ์นาฟฟาลก็ตัดสินใจก้าวถอยห่างออกมาสักสองก้าว กะว่าอยู่ห่างรัศมีพระบาทไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
“เอ่อ...ท่านชีคทรงเรียกเจ้าชายไปบอกเรื่องอภิเษกใหม่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เออ! ถ้ารู้ว่าท่านพ่อตามไปเพื่อบอกเรื่องนี้ เราจะไม่ยอมถ่อสังขารไปเป็นอันขาด”
ราชนิกุลผู้องอาจตรัสตอบ ทรงยกพระหัตถ์เสยผมให้ยุ่งไปหมด พร้อมกันนั้นก็เดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิดอารมณ์เสีย
“ท่านชีคจะอภิเษกเมื่อไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องการอภิเษกใหม่ของชีคอัลซาร์เรียกความตกตะลึงให้กับองครักษ์นาฟฟาลมากพออยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินคำตอบในประโยคถัดมาของเจ้าชายคามิล ก็ยิ่งทำเอาตกตะลึงมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
“อีกสองวันเจ้าสาวของท่านพ่อก็จะเดินทางมาถึงประเทศอาคาเรีย และวันถัดไปท่านพ่อจะร่วมหอลงโลงกับหญิงสาวคนนั้นทันที”
เจ้าชายคามิลทรงเน้นหนักตรงบางถ้อยบางคำเพราะความเจ็บใจ พระองค์ยังนึกไม่ออกว่าพระบิดาจะมีความสุขได้อย่างไร เมื่อต้องแต่งงานกับหญิงสาวที่หิวกระหายเงิน ทำตัวเป็นทากดูดเลือด คอยดูดเงินไปจากกระเป๋าของพระบิดาเอง
“ทำไมมันรวดเร็วแบบนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นาฟฟาลเอ่ยถามราวกับไม่เชื่อหู
“ฮึ! ท่านพ่อคงพระทัยร้อน อยากแต่งงานกับเจ้าสาวสุดเซ็กซี่เร็วๆ” เจ้าชายคามิลทำสุรเสียงเยาะในลำคอ พลางตรัสเหน็บแนมอย่างโกรธจัด
“ท่านพ่อกำลังทำตัวเป็นพวกวัยรุ่นใจร้อน ว่าที่เจ้าสาวเดินทางมาถึงประเทศอาคาเรียไม่ทันหายเหนื่อย ท่านพ่อก็จะจับเธอแต่งงานซะแล้ว”
องครักษ์นาฟฟาลขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง ฟังจากสุรเสียง ดูจากสีพระพักตร์ของเจ้าชายคามิลแล้ว บ่งบอกให้รู้ว่าทรงไม่เห็นด้วย และไม่ค่อยพอพระทัยกับการอภิเษกในครั้งใหม่ของพระบิดา
“เจ้าชายไม่เห็นด้วยกับการอภิเษกของท่านชีคหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เออ ใช่ ไม่เห็นด้วย”
ราชนิกุลผู้หล่อเหลากระแทกสุรเสียงตอบด้วยความโกรธจัด และดูเหมือนจะรำคาญองครักษ์ที่รินบรั่นดีให้ชักช้าไม่ได้ดั่งพระทัย จึงคว้าขวดบรั่นดีมารินเสียเองให้หมดเรื่อง
ส่วนองครักษ์นาฟฟาล พอได้ยินคำตอบจากเจ้าเหนือหัว ก็ยิ่งงุนงงเข้าไปอีก ว่าทำไมเจ้าชายคามิลถึงไม่พอพระทัยกับการอภิเษกใหม่ของพระบิดา เพราะเมื่อหลายปีก่อน เจ้าชายคามิลก็ทรงบ่นเสมอว่าอยากให้พระบิดาอภิเษกใหม่ ไม่อยากให้พระบิดาต้องเหงาอยู่แต่องค์เดียว
“เจ้าชายเคยบอกกระหม่อมเสมอว่าอยากให้ท่านชีคอภิเษกใหม่ เพื่อจะได้มีคนคอยดูแลฝ่าบาทด้วย แล้วทำไมจู่ๆ ถึงเกิดเปลี่ยนพระทัยขึ้นมาอย่างกะทันหันล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายคามิลยกบรั่นดีดื่มอีกแก้ว ก่อนจะตรัสตอบด้วยความโมโหที่ยังตกตะกอนไม่หมดสักที
“เราจะไม่คัดค้านท่านพ่อแม้แต่นิดเดียว หากท่านพ่อจะไม่แต่งงานกับเจ้าสาวที่มีอายุห่างกันตั้งสี่รอบ!”
ยิ่งพูดก็ยิ่งเคืองพระบิดา อยากให้ถึงวันที่ว่าที่เจ้าสาวเห็นแก่เงินเดินทางมาถึงประเทศอาคาเรียโดยเร็ววัน เพื่อพระองค์จะได้ทำตามแผนการที่ขบคิดไว้แล้ว
“ฮ้า! สี่รอบ” องครักษ์นาฟฟาลเบิกตากว้าง ตะเบ่งร้องเสียงหลงเพราะความตกใจ พลางเอ่ยพูดต่อด้วยความลืมตัว
“แบบนี้ก็เหมือนวัวแก่กำลังกินหญ้าอ่อนนะสิพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายคามิลถลึงดวงเนตรจ้องมององครักษ์ปากปีจอเขม็ง พร้อมกันนั้นก็ตรัสต่อว่าเสียงลอดไรฟันติดห้วนจัดอยู่มาก
“ที่เจ้าพูดต่อว่าเมื่อสักครู่ เขาคือท่านพ่อของเรานะไอ้นาฟฟาล”
องครักษ์นาฟฟาลรู้สึกตัว หน้าถอดสีซีด เมื่อตนเองบังอาจวิจารณ์นักไปหน่อย และด้วยเกรงว่าเจ้าเหนือหัวจะทรงกริ้วไปมากกว่านี้ จึงรีบขยับกายไปนั่งแทบพระบาท พลางเอ่ยขอประทานอภัยเป็นการใหญ่
“เอ่อ...กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวออกไปเช่นนั้น กระหม่อมปากเร็วไปหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายคามิลโบกพระหัตถ์ว่อน ก่อนจะตรัสออกมาให้องครักษ์เอกได้สบายใจ “เอาเถอะเจ้านาฟฟาล เจ้าไม่ต้องขอโทษขอโพย ทำหน้าราวกับจะถูกลากไปตัดคอหรอก เพราะเราเองก็คิดเหมือนเจ้าเช่นเดียวกัน ท่านพ่อกำลังทำตัวไม่ต่างจากวัวแก่กินหญ้าอ่อน ริจะแต่งงานใหม่กับเจ้าสาววัยกระเตาะอายุแค่ 25 ปี ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมด้วยซ้ำไป แถมอายุยังห่างกันสี่รอบ เป็นพ่อกับลูกกันได้สบายๆ ถ้าหากท่านพ่อแต่งงานกับผู้หญิงที่มีอายุไล่เลี่ยกันกว่านี้นิดหน่อย เราจะไม่บ่นหรือไม่คิดคัดค้านแม้แต่คำเดียว”
“ว่าที่เจ้าสาวของท่านชีคเป็นใครหรือพ่ะย่ะค่ะ แล้วทำไมเจ้าชายหรือพวกกระหม่อมไม่เคยระแคะระคายมาก่อนว่าท่านชีคพบกับอิสตรีคนใหม่ จนถึงขั้นกับจะแต่งงานด้วย แทนที่จะซื้อมาเป็นนางบำเรอเหมือนที่ผ่านๆ มา”
เจ้าชายคามิลถอนหายใจยาวกับคำถามขององครักษ์นาฟฟาล เพราะมัวแต่โกรธกริ้วพระบิดา พระองค์จึงไม่ได้สนใจไถ่ถามเรื่องนี้กับพระบิดา
“เป็นคนไทย เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านพ่อไปพบกับผู้หญิงแพศยาคนนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน แต่เท่าที่เรารู้คือท่านพ่อทรงชื่นชอบเธอหนักหนา แถมยังเสียค่าสินสอดให้กับผู้หญิงคนนั้นถึงยี่สิบล้าน”
“ทำไมค่าสินสอดถึงได้แพงมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นาฟฟาลถามราวกับไม่เชื่อในคำตอบที่ได้ยินมา
“ฮึ! นังผู้หญิงคนนั้นคงรู้ว่าท่านพ่อมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ใช้กี่ปีกี่ชาติก็ไม่มีหมด จึงตั้งใจโกงค่าตัวกับท่านพ่ออย่างเต็มที่”
เจ้าชายคามิลเค้นตอบสุรเสียงเยาะหยัน ทรงดูถูกเหยียดหยาม และรู้สึกเกลียดผู้หญิงที่ชื่อฐิติรดาจับพระทัย ตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าตากัน
“แบบนี้ท่าจะไม่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นาฟฟาลเสนอความเห็น และเจ้าชายคามิลก็พยักพระพักตร์รับ ตรัสด้วยสุรเสียงเคร่งเครียด
“ใช่แล้วนาฟฟาล มันไม่ดีเอามากๆ เราไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะยอมแต่งงานกับท่านพ่อเพราะคำว่ารัก เธอยังสาวยังแส้ จะมารักอะไรกับคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเธอ หากท่านพ่อไม่มีเงินมากมายขนาดนี้ จ้างให้เธอก็ไม่ชายตาแลท่านพ่อ”
“แล้วเจ้าชายจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ จะปล่อยให้ท่านชีคเข้าพิธีอภิเษก หรือว่าจะทรงขัดขวางให้ถึงที่สุด”
องครักษ์นาฟฟาลเอ่ยถามทั้งๆ ที่พอจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว และเมื่อเจ้าชายคามิลตรัสตอบออกมา ก็คลี่ยิ้มบางๆ เพราะเป็นคำตอบที่ตรงใจเขามากที่สุด
“เจ้าคิดว่าเราจะยอมให้ท่านพ่ออภิเษกกับผู้หญิงที่หิวเงิน เป็นเหลือบไรคอยดูดเงินไปจากท่านพ่อยังงั้นหรือ หากเรายังมีชีวิตอยู่ ผู้หญิงที่ชื่อฐิติรดาก็อย่าหวังว่าจะได้มาเสวยสุขบนกองเงินกองทอง”
เจ้าชายคามิลตรัสตอบเสียงห้วน ดวงเนตรวาวโรจน์ด้วยไฟโทสะ แม้ไม่ได้นำรูปภาพของฐิติรดามาด้วย กระนั้นพระองค์ก็ยังคงจดจำใบหน้างามลออ เรียวปากอิ่มสุดเซ็กซี่ของว่าที่เจ้าสาวของพระบิดาได้เป็นอย่างดี
“เจ้าชายมีแผนการอยู่ในพระทัยแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะเอ่ยถามออกไป องครักษนาฟฟาลยอมรับว่าไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่เหี้ยมโหด ซึ่งกำลังปรากฏอยู่บนพระพักตร์ของเจ้าเหนือหัวมาก่อน รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ กอปรกับดวงเนตรโชนแสงวาววับ ทำเอาเขาหวาดกลัวแทนหญิงสาวที่ชื่อฐิติรดาจริงๆ
“เรามีแผนการรอต้อนรับขับสู้ว่าที่แม่เลี้ยงคนสวยแล้ว รับรองว่าเธอจะต้องชื่นชอบจนกระอักเลือดกับวิธีการต้อนรับของเรา”
