1
มือชื้นเหงื่อ...
หัวใจเต้นรัว สั่นพลิ้ว
หวิวหวามในอก หายใจติดขัด จนเสียงกังวานก้องไปทั้งห้องน้ำเพดานสูง
เรียวขายาวหนีบแน่น วัตถุพลาสติกแท่งสีขาวในมือ ถูกกำแน่นจนแทบจะแตกคามือ
ฝาชักโครกรองรับการนั่งลงไปแบบไม่อาจยับยั้ง
เผ้าผมยุ่งเหยิงจากการตื่นนอนจากนิทราในยามเช้า ปกคลุมไปทั่วใบหน้ารูปไข่เนียนเด่น
ริมฝีปากแห้งผากถูกกัดเอาไว้โดยไม่รู้สึกเจ็บ นิ้วทั้งห้าค่อยๆ คลายออกจากแท่งสีขาวนั้น
สองตากลมโตดำขลับหรี่มองแบบ กลัวๆ กล้าๆ
"อื๊อ!" ส่งเสียงลอดไรฟัน กลั้นลมปราณทั้งแปด ก่อนผ่อนลมหายใจเฮือกสุดท้าย
"เอาวะ!"
ผ่ า ง!
บนช่องว่างของแท่งนั้น ปรากฏขีดสีแดงหนึ่งขีด และขีดที่สองจางกว่า
"ขีดเดียวหรือสองขีดวะ?" เธอเอาเสื้อเช็ดดูอีกรอบ เพื่อความแน่ใจ
"สองขีดจริงๆ ด้วย!" เธอโยนสองขีดนั้นขึ้น แล้วรับกลับมาโอบกอด
"ท้องแล้วโว๊ยยย!! ท้องแล้วววว!" กรีดร้องก้องห้องน้ำ จนคนร่วมบ้านชั้นล่าง ยังสะดุ้งสะเทือนกันเป็นแถบๆ
"ยัยปริ๊นซ์เป็นอะไรก่อน ร้องเหมือนควายจะออกลูก" ปุณณภา หรือ เปรียว บุตรสาวคนรอง ของบ้านบุญวิถี เปรยขึ้นขณะนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์กลางห้องนั่งเล่น ที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
"ไปว่าน้อง!" มารดาปรามขึ้น พร้อมมองขึ้นไปชั้นบนของบ้าน หากแต่ประมุขของบ้านอย่างทศพล บุญวิถี กลับหาได้สนใจสิ่งใด นอกจากหนังสือพิมพ์ตรงหน้า
วันนี้เป็นวันเสาร์ วันหยุดพักผ่อนของครอบครัว ที่จะหยุดอยู่บ้านร่วมกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา
ตระกูลบุญวิถี สืบสานความเป็นข้าราชการ มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทศพลเป็นข้าราชการพลเรือนชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวง มีหน้ามีตาในสังคมคนหนึ่ง ที่แม้จะล่วงเลยวัยเกษียณมาถึงสองปีแล้ว แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับสมาคมและที่ปรึกษาของกระทรวงอยู่
แม้จะมีบุตรสาวตั้งสามคน แต่บุตรสาวก็ไม่ได้ทำให้ตนผิดหวัง
บุตรสาวคนโตอย่างปลื้ม หรือปรางค์ปลื้ม บุญวิถี ก็เป็นถึงพยาบาลทหารที่สอบได้ยศร้อยโทหญิง และได้แต่งงานกับพันตำรวจโท ที่มีต้นตำรับตระกูลข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไม่ต่าง
นำความปลาบปลื้มใจมาให้วงศ์ตระกูล จนจัดงานแต่งงานหรูหราใหญ่โต เป็นหน้าเป็นตาจนทศพลปลื้มนักหนา สมชื่อบุตรสาว
ส่วนบุตรสาวคนที่สองอย่างปุณณภา ก็ได้รับราชการครู ตามแบบฉบับมารดา ซึ่งก็นำความภาคภูมิใจมาให้บานชื่น บุญวิถีเป็นอย่างมากเช่นกัน
ยกเว้นบุตรสาวคนสุดท้อง...
ที่ไม่เข้าพวก
นำความเหนื่อยใจมาให้บิดามารดามากกว่าใคร
"ก็จริงนี่คะแม่ ยัยปริ๊นซ์นับวันยิ่งทำตัวแปลกประหลาด วันๆ ไม่ออกจากห้อง ไม่ยอมไปหางานหาการทำ ไหนจะมาร้องโหวกเหวกโวยวายแบบนี้อีก คงจะอยู่เกาะพ่อแม่กินไปจนตาย" ได้ยินผู้เป็นพี่ว่าแบบนั้น มารดายิ่งต้องส่ายหัว จะดีหรือชั่วก็ไม่อยากให้ลูกด่าทอกัน
"ช่างน้องเถอะน่า เรื่องเกาะพ่อแม่กิน น้องไม่เคยทำนะ เห็นว่าทำออนไลน์ เป็นทั้งนักเขียน ยูทูบเบอร์ ได้เงินมากโขอยู่นะ" แม้จะไม่เห็นด้วยกับการยึดอาชีพไม่แน่นอนเช่นนั้นของปิรวดีบุตรสาวคนเล็ก
แต่ก็ตามประสาผู้เป็นแม่...ที่มักจะปกป้องและ ออกรับแทนลูกไว้ก่อนเสมอ ไม่ว่าตนจะเห็นด้วยกับเรื่องนั้นหรือไม่ก็ตาม
"งานตามกระแสเอาแน่เอานอนไม่ได้แบบนั้น จะมาเป็นหลักยึดในชีวิตได้ยังไง เดี๋ยวพอคนไม่มาอ่านไม่มาดูก็ไม่มีเงิน ก็ไม่พ้นต้องพึ่งพาเงินถุงคุณพ่อคุณแม่อยู่ดีล่ะค่ะ"
"ใช่ หึ...ผมบอกคุณไว้เลยนะ ว่าถ้ามันมาขอเงิน คุณไม่ต้องให้ แม้แต่บาทเดียวก็อย่าไปให้!" คนที่ทำเหมือนไม่ได้สนใจตั้งแต่ต้น พับหนังสือพิมพ์ลง พร้อมพูดประโยคที่คิดอยู่ในใจมาตลอด
พร้อมกันนั้น...
คนที่เดินลงบันไดมาอย่างสบายใจ ในชุดเดรสสีโอลด์โรสระบายชายเหนือเข่ามาจนค่อน ถึงกับชะงักฝีเท้า
กระเป๋าสะพายที่ห้อยอยู่บนหัวไหล่ มีสัญลักษณ์แบรนด์สุดหรูประทับ แทบจะหล่นลงพื้น แต่เธอก็ใช้มือกระชับมันเอาไว้ได้
"แหม คุณพ่อก็...ก่อนจะพูดอะไรเนี่ย ช่วยหาข้อมูลให้ดี สมกับที่เป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บ้างสิคะ" น้ำเสียงสดใสเชิงหยัน เดินยักย้ายส่ายสะโพกเข้าไปหาบุคคลในครอบครัว ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้าง
"ตายแล้ว แกพูดจากับคุณพ่อแบบนี้ได้ยังไง!" ปุณณภาลุกขึ้นยืนปรามน้องสาวทันที ด้วยอารมณ์เดือดดาล จนบานชื่นถึงกับต้องลุกขึ้นยืนตามเพื่อห้ามปรามการทะเลาะลุกลามที่อาจจะใหญ่โตได้
"พอเถอะน่ายัยเปรียว"
"เธอนั่นแหละพอได้แล้ว จะเข้าข้างอะไรมันนักหนา กับลูกไม่เอาไหนคนนี้!" ทศพลยืนกรานใหญ่ จ้องใบหน้าบุตรสาวคนเล็กที่ยังคงยิ้มกว้าง ด้วยความโกรธมหันต์
"แหมคุณพ่อก็...ใจเย็นๆ สิคะ ใจเย็นให้เหมือนตอนที่จะถูกยึดบ้านน่ะค่ะ" แววตาวาวโรธโกรธขึ้ง ทอแสงอ่อนลงเล็กน้อย
เธอรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร...?
สายตาที่เต็มไปด้วยคำถามนั้น ตวัดไปมองที่ภรรยาผู้ก้มหน้างุด เหมือนวัวสันหลังหวะ!
“แกพูดอะไรของแก บ้านใครโดนยึด? ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย!” ปุณณภาหันไปมองหน้าบิดามารดา สลับกันไปมา และหยุดอยู่ตรงหน้าน้องสาว
ความรู้สึกของพี่สาวที่มากความสามารถ เห็นสายเลือดที่ออกนอกลู่นอกทางมาตลอด ไม่ชอบใจที่สุด... ก็ตอนที่น้องสาวพูดจาแบบไม่ให้เกียรติผู้ให้กำเนิดเช่นนี้
“พอดีว่าปริ๊นซ์ต้องไปทำธุระต่อ ขอตัวก่อนนะคะ” เธอไม่ตอบรับสิ่งที่พี่สาวถามมา แต่กลับหันไปพูดเชิงขอตัวจากมารดาแทน
เหมือนทิ้งระเบิดลูกใหญ่...
แล้วจากไปไวเหมือนพายุ!
“มันหมายความว่ายังไง” น้ำเสียงเฉียบขาด ส่งเสียงลอดไรฟันด้วยใบหน้าบึ้งตึง จนบานชื่นถึงกับพูดอะไรไม่ได้
เม้มริมฝีปากไปมา...ใบหน้าครุ่นคิดหาคำแก้ตัวไม่ออก
“เดี๋ยวนะคะคุณพ่อคุณแม่ ที่ยัยปริ๊นซ์พูด หมายถึงบ้านเรากำลังจะถูกยึดงั้นเหรอคะ?” ปุณณภาตกใจจนเอามือขึ้นทาบอก บ้านหลังนี้เป็นสมบัติตกทอดเก่าแก่ รวมตัวบ้านและที่ดินก็มีมูลค่ามากกว่าหลายสิบล้าน
ทศพลเป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เกษียณแล้ว จะถูกยึดบ้านได้อย่างไร เมื่อไม่ได้นำเงินไปลงทุนมากโขเฉกเช่นนักธุรกิจ
“เดี๋ยวสิคะคุณ เรื่องนี้ฉันอธิบายได้นะคะ” นอกจากจะไม่มีใครตอบคำถามบุตรสาวคนกลางแล้ว ทศพลยังเดินหนีขึ้นชั้นบนของบ้าน จนบานชื่นต้องรีบวิ่งตามไป
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” ปุณณภาไม่รอช้ารีบโทรหาพี่สาวคนโตของบ้าน ที่ติดงานในวันหยุดและจะกลับมาอีกทีในตอนเย็นๆ เผื่อว่าจะได้ทราบเรื่องอะไรบ้าง