บท
ตั้งค่า

ตอนที่3 บุตรทั้งสองของข้าโตแล้ว

“ท่านย่า ท่านอยู่กับหลานเพียงสองคนอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว สามีและบุตรชายของข้าตายไปตั้งแต่สงครามที่รบกับเมืองอันหยางครั้งสุดท้าย ส่วนลูกสะใภ้ป่วยตายเพราะต้องทำงานหนักหาเลี้ยงข้ากับหลานสาว นางเพิ่งจากไปเมื่อ2ปีก่อน ตอนนี้จึงเหลือกันอยู่เพียงสองย่าหลานเท่านั้น”

“ยิ่งมาเจอน้ำท่วมครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้ท่านย่าลำบากมากขึ้นไปอีกใช่หรือไม่?” เขาส่งยิ้มให้คนทั้งสองพร้อมยื่นขวดน้ำเต้าให้หญิงชรา

สตรีสูงวัยรับขวดน้ำเต้าพร้อมยิ้มตอบบุรุษหนุ่มตรงหน้า แต่หญิงชรากลับไม่ดื่ม นางยื่นขวดน้ำเต้านั้นให้หลานสาวดื่มก่อนจะหันมาพูดกับหลิวเลี่ยงลี่

“ลำบากที่ไหนกัน แค่นี้ไม่ลำบากเลยหากเทียบภัยพิบัตินี้กับสงครามครั้งก่อน อย่างน้อยเมื่อน้ำลงก็ยังมีที่ให้ข้ากับหลานสาวกลับไปได้ คนในครอบครัวก็ยังอยู่พร้อมหน้า ตอนนอนก็ไม่ต้องผวาตื่นเพราะกลัวข้าศึกบุกเข้ามา ทั้งยังต้องคอยพะวงกลัวบุตรหลานที่ออกไปรบจะมีอันตรายถึงชีวิต ทุกเช้าค่ำมิมีเสี้ยวเวลาใดที่ไม่รู้สึกเป็นกังวล ดังนั้นแค่นี้ไม่ถือว่าลำบากเลย” หญิงชรามองหน้าหลิวเลี่ยงลี่แล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้ก่อนเอ่ยต่อ

“เจ้ายังเยาว์วัยเห็นเรื่องเช่นนี้ย่อมคิดว่าลำบาก หากเจ้าโตกว่านี้ ได้พบเจอเรื่องราวมากกว่านี้ เจ้าจะรู้ว่าเรื่องลำบากกว่านี้ย่อมมีอีกมาก ยิ่งในยุคที่มีสงครามเกิดขึ้นได้เสมอแบบนี้ด้วยแล้ว เรื่องลำบากย่อมพบเจอได้ไม่ยาก” หญิงชรามองหน้าหนุ่มน้อยที่สวมชุดทหารตรงหน้า คิ้วของทหารผู้นี้ขมวดติดกันราวกับมีเรื่องให้ครุ่นคิด

“ท่านย่า แล้วถ้ามีคนมารุกรานเรา ท่านจะให้พวกเรายอมจำนนอย่างนั้นหรือ?”

สีหน้าของบุรุษหนุ่มเต็มไปด้วยความข้องใจ หญิงชรามองหน้าเขาด้วยแววตาเปื้อนยิ้ม

“ยายแก่คนนี้ก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่หวังใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ และหวังเพียงว่าเมืองหลิวผิงจะไม่ต้องทำศึกไปอีกยาวนาน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่รักภูมิลำเนาของตน แต่หากมีทางออกอื่นย่อมดีกว่า เพราะการทำศึกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ ย่อมต้องมีครอบครัวที่ต้องสูญเสียอยู่ดี แต่หากเจรจาด้วยสันติไม่ได้ ชายชาติทหารอย่างเจ้าก็สมควรแล้วที่จะจับดาบยกโล่ เพื่อปกป้องคนข้างหลังและแผ่นดินที่เจ้าอาศัย เพื่อมิให้ผู้ใดมาข่มเหงคนที่อยู่ด้านหลังของเจ้าและแย่งแผ่นดินเกิดของเจ้าไป”

หญิงชรารู้ดีว่าหนุ่มน้อยตรงหน้าของนางหาใช่ทหารผู้ต่ำต้อย เพราะด้วยอายุเพียงเท่านี้ก็สามารถสั่งการทหารคนอื่นได้ ดังนั้นสตรีสูงวัยจึงไม่อยากให้เขาใจร้อนวู่วาม จึงเอ่ยเตือนสติอ้อม ๆ

คำของหญิงชราตรงหน้าทำให้หลิวเลี่ยงลี่เข้าใจแล้วว่าใยบิดาจึงส่งพี่สาวไปแต่งงาน แต่กลับไม่ยอมเปิดศึกกับหลัวหยางโหว หนุ่มน้อยเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในใจที่ใส่อารมณ์กับบิดา จึงขอแม่ทัพลี่หม่าเดินทางกลับมาเมืองหลิวผิงทันที

ณ ที่ว่าการเมืองหลิวผิง

หลิวเลี่ยงลี่กลับมาถึงตัวเมืองหลิวผิงก็ได้ยินข่าวตอบรับงานมงคลของพี่สาว ถึงจะรู้สึกขัดใจแต่เขาก็ต้องยอมรับอย่างจำใจ ครั้นหนุ่มน้อยมาถึงจวนผู้ว่าการเมืองหลิวผิง ก็ถามหาบิดากับผู้ดูแลจวนทันที จึงรู้ว่าบิดาอยู่ที่เรือนนอนของหลิวหลิงลี่

เมื่อหลิวเลี่ยงลี่มาถึงหน้าห้องนอนของหลิวหลิงลี่ เขาก็ยกมือขึ้นหมายจะเคาะประตูเพื่อขออนุญาตคนที่อยู่ข้างใน แต่บังเอิญได้ยินคำพูดของพี่สาวที่คุยกับบิดา เขาจึงยั้งมือเอาไว้แล้วยืนฟังอยู่เงียบ ๆ แม้กระทั่งขณะที่คนทั้งสองร้องไห้กอดกัน เขาก็ได้แต่ยืนขอบตาแดงอยู่ลำพังด้านนอก

ขณะที่ฟังคนด้านในห้องทั้งสองสนทนากัน หลิวเลี่ยงลี่ก็คิดขึ้นมาได้ ‘ในเมื่อท่านพ่อทำหน้าที่เจ้าเมือง ส่วนพี่หญิงก็ทำหน้าที่บุตรีของลูกเจ้าเมือง ข้าซึ่งอนาคตย่อมต้องรับตำแหน่งเจ้าเมืองต่อจากท่านพ่อ ก็สมควรต้องทำหน้าที่ของตนเองได้แล้ว’

ครั้นหลิวเลี่ยงลี่ได้ยินหลิวหลิงลี่พูดถึงตนเอง เขาจึงได้เปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไปหาคนทั้งสองอย่างรวดเร็ว

“เจ้ามาได้อย่างไร ข้าให้แม่ทัพลี่หม่าพาเจ้าไปช่วยชาวบ้านที่ลี้ภัยน้ำท่วมที่อำเภอหาวหนานไม่ใช่หรือ?”

หลิวเลี่ยงลี่เดินเข้าไปยืนต่อหน้าบิดา ก่อนจะคุกเข่าและโขลกศีรษะลงกับพื้น

“ท่านพ่อลูกอกตัญญูพูดจาไม่ไตร่ตรองทำให้ท่านพ่อโมโห ตอนนี้ลูกคิดได้แล้วจึงมาขอขมากับท่าน ขอท่านพ่อโปรดลงโทษลูกด้วย” น้ำเสียงของหนุ่มน้อยหนักแน่น แต่ทว่าบางช่วงกลับสั่นเพราะความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ

หลิวตงถึงจะตกใจต่อการกระทำของบุตรชาย แต่เขารู้สึกภูมิใจที่บัดนี้บุตรชายของเขาโตขึ้นแล้ว เขาลุกจากเก้าอี้ไปจับไหล่ของบุรุษอายุน้อยกว่า พร้อมยกยิ้มให้

“ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้น คิดได้ก็ดี คิดได้ก็ดีแล้ว”

“ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะฝึกฝนให้มาก จะเอาอย่างท่านปู่ปกป้องเมืองหลิวผิงและท่านพ่อกับพี่หญิงเอง”

“แต่...” หลิวตงพูดได้คำเดียวก็โดนหลิวหลิงลี่เอ่ยแทรกขึ้นมา

“ท่านพ่อตอนนี้อาลี่16หนาวไม่ถือว่าเด็กแล้ว หลัวหยางโหวตามท่านผู้เฒ่าหลัวโหวออกศึกตั้งแต่14หนาว อายุน้อยกว่าอาลี่เสียอีก ดังนั้นท่านพ่อควรหาท่านแม่ทัพสักคน มาสอนกลยุทธ์การต่อสู้และการศึกให้อาลี่แบบจริงจังเสียที”

“นั่นสิท่านพ่อ ลูกร่างกายแข็งแรงท่านพ่ออย่างได้ห่วงลูกเลย ที่ผ่านมาลูกได้แต่แอบฝึกมาตลอด เพราะไม่มีคำสั่งของท่านพ่อ แม่ทัพเหล่านั้นก็เลยไม่กล้าสอนลูกอย่างจริงจัง เพราะกลัวทำลูกบาดเจ็บแล้วจะถูกท่านพ่อตำหนิ” หลิวเลี่ยงลี่รีบกล่าวเสริมจากพี่สาว

หลิวตงได้แต่ระบายลมหายใจยาวก่อนจะยิ้มให้บุตรทั้งสอง “โตแล้ว บุตรของข้าทั้งสองโตแล้วจริง ๆ ”

หลิวตงใช้มือลูบหัวของบุตรทั้งสองอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ราวกับคนจะร้องไห้

“ถึงเวลาแล้วสินะ ที่พ่อจะต้องปล่อยให้พวกเจ้าได้ใช้ชีวิตของพวกเจ้า ต้องโทษพ่อที่ไร้ความสามารถไม่อาจปูทางเดินนี้ให้พวกเจ้าเดินได้อย่างสบาย”

“ท่านพ่ออย่าได้โทษตัวเองเลย หลังจากท่านปู่เสียไป ท่านก็ได้ปกป้องชาวเมืองและข้าสองพี่น้องมาอย่างดี ทั้งที่ท่านไม่รู้การศึกอีกทั้งร่างกายยังอ่อนแอ แต่ยังเป็นเจ้าเมืองที่ดีมาได้ถึง7ปี ท่านพ่อเก่งมากแล้วเจ้าค่ะ ลูกภูมิใจในตัวท่านพ่อมากจริง ๆ และไม่เสียใจเลยที่เกิดเป็นบุตรีของท่าน” หลิวหลิงลี่กล่าวชมบิดา

“ท่านพ่อ ต่อจากนี้ลูกจะปกป้องท่านบ้าง ยังไงอนาคตลูกก็คือเจ้าเมืองคนต่อไป ไหนเลยจะยอมแพ้ท่านพ่อและท่านปู่ได้” หลิวเลี่ยงลี่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel