บท
ตั้งค่า

ตอนที่11 คนคุยที่ถูกใจ

“เจ้าไม่ต้องกลัวหรอกนะว่าข้าจะเลือกเจ้ามาเป็นสาวรับใช้ข้างกาย หากเจ้าไม่อยากเป็นข้าย่อมไม่คิดฝืนใจเจ้าอยู่แล้ว ข้าเข้าใจดีว่าเจ้าคิดเช่นไร”

หลิวหลิงลี่ยิ้มให้เสี่ยวหลี่อย่างอ่อนโยน ก่อนจะหยิบขนมกุ้ยฮวายื่นให้ สาวรับใช้มองหน้าหลิวหลิงลี่อยู่ครู่หนึ่งจึงรับขนมไว้แต่ก็ไม่กล้ากิน

“นายหญิงกลัวว่าในขนมจะมียาพิษหรือเจ้าคะ?” เสี่ยวหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิวหลิงลี่ให้นางทานของกินที่ถูกส่งมายังเรือนตะวันตก ทำให้หญิงสาวอดนึกสงสัยไม่ได้

“ ” หลิวหลิงลี่ตะลึงเล็กน้อยก่อนจะหลุดขำออกมาเพราะเห็นใบหน้าที่ใสซื่อของเสี่ยวหลี่ หญิงสาวใช้มือลูบหัวของสตรีอายุน้อยกว่าอย่างเอ็นดู

“เจ้าช่างเหมือนนางเสียจริง เพียงแต่เจ้าอายุน้อยกว่านางหนึ่งปีเท่านั้น”

หลิวหลิงลี่หยิบขนมที่อยู่ในจานเข้าปาก ก่อนจับมือเสี่ยวหลี่ข้างที่ถือขนมดันไปประชิดริมฝีปาก เพื่อให้สตรีอายุน้อยกว่าได้กินขนม เสี่ยวหลี่ยิ้มให้หลิวหลิงลี่ก่อนจะอ้าปากกิน

“อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลี่ยิ้มจนแก้มปริ

เสี่ยวหลี่ไม่คิดจะถามผู้เป็นนายหญิงว่าตนเองเหมือนใคร เพราะการที่หลิวหลิงลี่จากบ้านเมืองมาโดยไม่มีผู้ติดตามเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะคิดถึงคนที่บ้าน เพื่อไม่ให้ผู้เป็นนายหญิงต้องเศร้ามากกว่าเดิม สาวรับใช้จึงคิดจะชวนคุยเรื่องอื่นแทน ดีกว่าจะถามถึงหญิงสาวที่คล้ายนาง

หลิวหลิงลี่เห็นสาวใช้อายุน้อยยิ้มเพราะขนมเพียงชิ้นเดียวก็อดเอ็นดูนางไม่ได้ และพลางคิดถึงเหนียวเหนี่ยวที่เคยอยู่คุยเล่นข้างกายยามนางเหงา

“เจ้าชอบก็กินอีกสิ” หลิวหลิงลี่ดันจานใส่ขนมไปตรงหน้าสาวรับใช้

“ขอบคุณเจ้าค่ะนายหญิง” เสี่ยวหลี่เอ่ยพร้อมยิ้มกว้าง

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

“ข้าน้อยเคยเป็นสาวใช้ที่หอนางโลมเจ้าค่ะ ตอนที่ท่านโหวมาตีเมืองทำให้นางโลมพากันหนี หลังจากเสร็จศึกในหอนางโลมจึงเหลือคนอยู่ไม่มาก แม่เล้าเลยจะให้ข้าน้อยเป็นนางโลม แต่ข้าไม่ยินยอมเลยถูกเฆี่ยนตี ข้าน้อยเลยต้องหนีออกมา แต่โชคดีได้เจอกับท่านแม่ทัพฟางเซียว แม่ทัพฟางเซียวเห็นข้าก็นึกสงสารเลยซื้อตัวข้าไว้ แล้วนำมาฝากพ่อบ้านจวนเจ้าเมืองไว้เจ้าค่ะ”

เมื่อพูดถึงแม่ทัพฟางเซียวหลิวหลิงลี่สังเกตเห็นว่าใบหูของเสี่ยวหลี่แดงระเรื่อ อีกทั้งดวงตายังเปล่งประกาย หลิวหลิงลี่เห็นก็ยกยิ้มมุมปากทั้งสองข้างขึ้น ก่อนจะเอ่ยแหย่หญิงสาวอายุน้อยกว่า

“เจ้าชอบแม่ทัพฟางเซียวหรือ?”

เสี่ยวหลี่เพียงได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับสำลัก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีตำลึงสุกทันที หลิวหลิงลี่เห็นก็อดขำชอบใจไม่ได้ในความเขินอายของสาวน้อยตรงหน้า เสี่ยวหลี่เห็นหลิวหลิงลี่ขำก็ยิ่งอายจนไม่กล้าเงยหน้ามองหญิงสาวอายุมากกว่า

“ข้าไม่แหย่เจ้าแล้ว แต่เจ้ากับเขาอายุห่างกันมาก หรือไม่เขาก็อาจมีภรรยาอยู่ที่เมืองอันหยางแล้วก็ได้ ข้าว่าเจ้าเปลี่ยนใจเสียจะดีกว่า” หลิวหลิงลี่เอามือตบบนบ่าของอีกฝ่ายเบา ๆ

“นายหญิงคงไม่รู้ แม่ทัพฟางเซียวยังอายุไม่มากเจ้าค่ะ เขาเป็นแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดของท่านโหว และยังอายุน้อยกว่าท่านโหวด้วยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลี่เอ่ยเสียงแข็ง ก่อนจะปรับเสียงอ่อนลง

“ส่วนเรื่องภรรยานั้น ข้าน้อยไปถามคนอื่นมาแล้วเจ้าค่ะ เขายังมิได้แต่งงานเจ้าค่ะ”

หลิวหลิงลี่ทำสีหน้าตกใจที่รู้ว่ามีแม่ทัพอายุน้อยกว่าหลัวหยางโหวอยู่ในทัพเมืองอันหยางด้วย ก่อนจะหัวเราะในลำคอเพราะสีหน้าของสาวน้อยตรงหน้านาง

“ข้าเข้าใจแล้ว แต่เจ้าก็ต้องทำใจไว้ด้วย หากเจ้าจะเป็นภรรยาของเขา ฐานะของเจ้าอาจเป็นได้เพียงอนุเท่านั้น ข้าไม่ได้ดูถูกเจ้า แต่อยากให้เจ้าเตรียมใจเอาไว้ ถึงวันข้างหน้าเขารักเจ้ามาก แต่การแต่งงานเข้าตระกูลของแม่ทัพ เพื่อเป็นฮูหยินเอก สำหรับเจ้าไม่ง่ายเลย แต่ข้าก็ขออวยพรให้เจ้าสมหวังอย่างที่เจ้าปรารถนาเอาไว้นะ” หลิวหลิงลี่ยิ้มอย่างจริงใจให้อีกฝ่าย

“ข้าน้อยเข้าใจว่านายหญิงพูดเพราะหวังดี แต่เรื่องตระกูลของแม่ทัพฟางเซียวนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยเจ้าค่ะ เพราะท่านแม่ทัพฟางเซียวเป็นเพียงลูกชาวนา และมิหนำซ้ำบิดามารดาของท่านแม่ทัพก็ตายไปเมื่อ3ปีก่อนแล้วเจ้าค่ะ เรื่องที่ข้าหนักใจมีเพียงทำอย่างไรให้ข้าได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับท่านแม่ทัพเท่านั้น” เสี่ยวหลี่ทำหน้าเศร้าในประโยคท้าย

หลิวหลิงลี่เมื่อได้ยินว่าเป็นแม่ทัพก็คิดว่าอายุเยอะ ที่ไหนได้เขาอายุน้อยกว่าหลัวหยางโหวเสียอีก อีกทั้งยังเป็นเพียงลูกชาวนาไร้อำนาจ ทำให้หลิวหลิงลี่ต้องมองหลัวหยางโหวใหม่

‘หลัวหยางผู้นี้ใช้คนไม่ได้สนอายุน้อยอายุมาก และยังไม่สนชาติกำเนิดอีกด้วย เขาสนเพียงความสามารถเท่านั้น เพราะเหตุนี้สินะกองทัพของเขาถึงได้มีแต่คนมากความสามารถ ดังนั้นเขาจึงขยายอำนาจได้เร็วถึงเพียงนี้ ส่วนเมืองหลิวผิงของข้าไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพหรือขุนนาง ก็มีแต่พวกอายุมาก หรือถ้าอายุน้อยก็หนีไม่พ้นลูกหลานตระกูลที่มีอำนาจอยู่แล้ว คนทั่วไปที่มีความสามารถที่แท้จริงจึงไม่ได้มีโอกาสได้รับใช้บ้านเมือง’

หลิวหลิงลี่เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมืองอันหยางถึงสามารถขยายอำนาจได้เร็วถึงเพียงนี้ ส่วนเมืองของนางถึงได้ตกต่ำลงเรื่อย ๆ

“นายหญิง เป็นอันใดหรือเจ้าคะ?” เสี่ยวหลี่เห็นสตรีอายุมากกว่านิ่งเงียบไปหลายลมหายใจ จึงได้เอ่ยถาม

“ข้าไม่ได้เป็นอันใด” หลิวหลิงลี่เอ่ยพลางยิ้มบาง ๆ

หลังจากนั้นหลิวหลิงลี่และเสี่ยวหลี่ต่างพูดคุยกันหลายเรื่องอย่างถูกคอ นับตั้งแต่ที่เดินทางออกมาจากเมืองหลิวผิง นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวหลิงลี่ได้พูดคุยอย่างสนุกสนานโดยไม่ต้องคิดสิ่งใด

ทั้งสองคุยถึงเรื่องต่าง ๆ นานา ส่วนมากมักจะเป็นเสี่ยวหลี่ที่เป็นฝ่ายเล่าเรื่องให้ฟัง ถึงบ้างเรื่องจะเป็นเรื่องที่หญิงในห้องหอไม่ควรฟัง แต่หลิวหลิงลี่ก็นั่งฟังไปพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ เพราะชีวิตของเสี่ยวหลี่โตมาในหอนางโลม เรื่องเล่าส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องชายหญิงและการยั่วยวนบุรุษ

เมื่อเสี่ยวหลี่เห็นว่าดึกมากแล้วจึงบอกลาหลิวหลิงลี่ แต่เจ้าของห้องนอนยังไม่ชินกับสถานที่ จึงยังไม่กล้านอนคนเดียว ถึงเมื่อวานนางจะนอนหลับสนิท แต่นั่นเป็นเพราะนางเพลียจากการเดินทางมาไกล

“เจ้านอนในห้องนี้เป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่?” เจ้าของห้องนอนเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา

การอ่านสีหน้าคนก็คือความสามารถที่เหล่านางโลมถนัด เสี่ยวหลี่ที่อยู่ที่นั่นมานานจึงได้ความสามารถนี้มาเช่นกัน จึงรับรู้ได้ว่าหลิวหลิงลี่ยังไม่คุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel