ตอนที่10 การตรียมงานที่เร่งรีบ
หลัวหยางโหวได้ฟังกุนซือก็ระบายลมหายใจออกอย่างช้า ๆ เพราะจะโทษแม่ทัพหนุ่มก็ไม่ได้ เนื่องจากฟางเซียวไม่รู้สาเหตุที่เขาจัดงานแต่งเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นคนสั่งให้แม่ทัพหนุ่มไปจัดการเรื่องเสบียงที่จะนำไปออกรบในศึกครั้งหน้า
“วันนี้ให้คนมาวัดชุดแต่งงานของข้ากับนาง ไม่ต้องพิถีพิถันมากนัก เอาแค่พอใส่เข้าพิธีได้ก็พอ การจัดตกแต่งจวนก็จัดแค่เรือนของนางกับห้องโถงใหญ่ ไม่จำเป็นต้องจัดทั้งจวนให้สิ้นเปลือง ส่วนพิธีก็เพียงไหว้ฟ้าดินและส่งตัวเจ้าสาวเข้าเรือนหอ นอกนั้นก็ตัดทิ้งเสียให้หมด จะได้ไม่ต้องเสียเวลา” หลัวหยางโหวกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ถึงจะเข้าใจฟางเซียวแล้ว แต่คำพูดของเด็กคนนี้ก็จี้ใจดำทำให้เขาหงุดหงิดใจไม่น้อย
“ขอรับท่านโหว” ทุกคนน้อมรับคำสั่งที่ผู้เป็นนายกล่าวโดยไม่กล้าขัด เพราะสายตาก่อนหน้าที่เห็นคงไม่ดีนักหากจะเอ่ยสิ่งใดในยามนี้
“ท่านโหวจะเชิญใครมาเป็นแขกในงานหรือไม่” กุนซือเอ่ยถาม
“มีแค่พวกเจ้าก็พอ” บุรุษหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเจือหงุดหงิดเล็กน้อย
หลัวหยางโหวพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินเข้ากระโจมไปทันที ปล่อยให้กุนซือและเหล่าแม่ทัพทั้ง4คนยืนมองหน้ากันไปมา ถึงพวกเขาจะคิดว่าท่านโหวไม่อยากให้มารดาจัดงานแต่งใหญ่โต แต่ก็ไม่คิดว่างานแต่งระดับตระกูลใหญ่สองตระกูลจะจัดได้เล็กกว่าชาวบ้านเสียอีก
‘ข่ายตั๋ว’ ผู้ที่เป็นกุนซือข้างกายของหลัวหยางโหวรู้ดีว่านายของตนเป็นพวกแค้นฝังใจ ผู้ใดเคยทำอันใดเขาไว้เขาย่อมไม่มีวันปรานี หากผู้นั้นไม่มอดม้วยสิ้นลมหายใจก็ต้องอยู่เหมือนตายทั้งเป็น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข่ายตั๋วต้องการเห็นเจ้านายของเขาเป็น เพราะความแค้นเปรียบดั่งเปลวไฟที่ร้อนแรง มันย่อมเผาผลาญให้นายของเขาไม่มีความสุข ข่ายตั๋วรู้จักหลัวหยางโหวมาตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นความผูกพันอันยาวนาน จึงอยากให้บุรุษหนุ่มละวางความแค้นและหาความสุขใส่ตัวบ้าง
เมื่อหลัวหยางโหวเข้ากระโจมไป เหล่าแม่ทัพทั้ง4ก็แยกย้ายกันไปจัดเตรียมงาน ห่าวซวนรีบไปร้านตัดเย็บเลือกชุดบ่าวสาวที่ทางร้านว่าดีที่สุด และพาช่างตัดเย็บของร้านไปวัดตัวหลัวหยางโหวกับหลิวหลิงลี่ ส่วนชินเทียนกับเตียนอี๋ไปสั่งซื้อของที่ต้องใช้ในงานพิธี และฟางเซียวไปยังจวนเจ้าเมืองเพื่อเตรียมสถานที่
ณ จวนเจ้าเมือง
ฟางเซียวได้บอกกำหนดการการแต่งงานที่จะจัดขึ้นในอีก2วันให้พ่อบ้านได้รู้ พ่อบ้านจวนเจ้าเมืองเลยต้องเกณฑ์คนทั้งหมดในจวนมาเพื่อเตรียมงาน
หลิวหลิงลี่ที่นั่งดูดอกไม้พัดปลิวไปตามแรงลม เมื่อเห็นพ่อบ้านและคนในจวนพากันวิ่งวุ่นก็นึกสงสัย แต่ทว่าก็มิคิดเอ่ยปากถามผู้ใด
แต่เมื่อห่าวซวนพาช่างตัดเย็บมาวัดตัว หลิวหลิงลี่จึงรู้แล้วว่าเหตุใดในจวนวันนี้จึงวุ่นวายนัก ถึงหญิงสาวจะประหลาดใจที่รู้ว่าการแต่งงานจัดขึ้นอย่างรวดเร็วจนนางไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยถามอันใดจากห่าวซวน เพราะนางรู้ดีว่านี่คงเป็นคำสั่งของหลัวหยางโหว และหลิวหลิงลี่ยังเดาว่าการจัดงานอย่างกะทันหันเช่นนี้ เป็นเพราะบุรุษแซ่หลัวไม่อยากจัดงานใหญ่โตเป็นแน่ เพราะหากต้องเตรียมงานใหญ่เพียงแค่2วันคงไม่ทันการ
สำหรับหลิวหลิงลี่งานใหญ่งานเล็กก็ไม่สำคัญ เพราะนางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับการวางแผนปกครองเมืองแห่งนี้ที่เพิ่งตีมาได้ไม่นาน
ถึงปกติการแต่งงานของสองตระกูลใหญ่จะจัดอย่างยิ่งใหญ่โดยมีการเฉลิมฉลองครื้นเครงไปทั่วเมือง และยังเชิญแขกผู้สูงศักดิ์มากมายมาเป็นสักขีพยานในการเชื่อมสัมพันธ์ของสองตระกูล แต่สิ่งเหล่านี้นางมิได้คาดหวังจากหลัวหยางโหวตั้งแต่ได้เห็นสินสอดที่ส่งมาแล้ว นางเพียงแค่หวังว่าเขาจะให้เกียรตินางในฐานะฮูหยินบ้างแค่นั้นก็พอ อย่างน้อยนางจะได้อยู่อย่างไม่ลำบากมากนักในจวนโหว
“คารวะฮูหยินน้อย ฮูหยินของท่านโหวช่างสวยงามหมดจดอีกทั้งรูปร่างยังงดงาม ช่างเหมาะสมกับท่านโหวยิ่งนัก” ช่างที่มาวัดตัวเอ่ยชมหลิวหลิงลี่เมื่อได้พบหน้า
หลิวหลิงลี่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด นางเพียงคลี่ยิ้มบางให้อีกฝ่าย และปล่อยให้ช่างตัดเย็บได้ทำหน้าที่ของตนเอง เมื่อช่างตัดเย็บทำหน้าที่เสร็จสิ้นก็เอ่ยลาและออกจากห้องไป
จงเอ่าและเสี่ยวหลี่เดินเข้ามาทันทีเมื่อเห็นช่างวัดตัวเดินออกไป ทั้งสองเข้ามาปรนนิบัติอาบน้ำขัดถูร่างกายพร้อมใช้น้ำมันนวดผิวให้กับหลิวหลิงลี่ เพื่อเตรียมพร้อมในการเป็นเจ้าสาวในห้องหอให้กับหลิวหลิงลี่ โชคดีที่ธิดาเจ้าเมืองหลิวผิงมีผิวพรรณที่ผุดผ่องชวนมองอยู่แล้ว จึงไม่ต้องบำรุงมากก็สามารถยั่วยวนทำให้ผู้ที่ได้เห็นหลงใหลได้
“นายหญิงผิวพรรณผุดผ่องขาวเนียนนุ่มนิ่ม รูปร่างก็ช่างงดงามเสียจริงนะเจ้าคะ” เสี่ยวหลี่พูดด้วยน้ำเสียงใสซื่อ
เสี่ยวหลี่ได้เห็นรูปร่างที่เปลือยเปล่าของหลิวหลิงลี่ก็อดชมในความงามของนางไม่ได้ สาวรับใช้อายุน้อยเคยเป็นเด็กรับใช้ในหอนางโลมย่อมเคยเห็นร่างกายไร้เสื้อผ้าของสตรีมาไม่น้อย แต่ไม่เคยเห็นผู้ใดที่ผิวพรรณและรูปร่างจะดีได้เท่าหลิวหลิงลี่มาก่อน
หลิวหลิงลี่รู้สึกเอ็นดูหน้าตาและน้ำเสียงใสซื่อของเสี่ยวหลี่จึงอดยิ้มไม่ได้ ยิ่งเสี่ยวหลี่พูดยิ่งทำให้หลิวหลิงลี่รู้สึกคิดถึงเหนียวเหนี่ยวมากขึ้น
“เจ้าอายุเท่าไรแล้ว เสี่ยวหลี่” หลิวหลิงลี่เอ่ยถาม
“อีก3เดือนข้าน้อยจะ16หนาวแล้วเจ้าค่ะนายหญิง”
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไรอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าน้อยพึ่งมาอยู่ที่นี่ได้1เดือนเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบของเสี่ยวหลี่ หลิวหลิงลี่ก็ไม่ได้ถามต่อ ปล่อยให้จงเอ่าและเสี่ยวหลี่ปรนนิบัตินางจนเสร็จ ก่อนที่ทั้งสองจะออกไปจากห้อง หลิวหลิงลี่ได้สั่งให้เสี่ยวหลี่นำชาและขนมเข้ามาให้นาง
เพียงไม่นานสาวรับใช้อายุน้อยก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมชาและขนมกุ้ยฮวา หลิวหลิงลี่ที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างมองออกไปข้างนอกหันมามองหญิงสาวที่เดินเข้ามา นางจึงลุกขึ้นไปนั่งและจิบน้ำชาที่เสี่ยวหลี่รินให้
“เจ้านั่งลงสิ” หลิวหลิงลี่เอ่ยชวน
“นายหญิง ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าไม่กล้าเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลี่เอ่ยเสียงสั่น
“อย่าได้กลัวเลย ในห้องนี้มีเพียงเจ้ากับข้าเท่านั้น ถ้ามีใครเข้ามาเจ้าเพียงลุกขึ้นยืนตามเดิมก็ได้”
สาวรับใช้ไม่ได้กล่าวสิ่งใด ได้เพียงแต่ส่ายหัวเล็กน้อยเท่านั้น หลิวหลิงลี่จึงยื่นมือไปจับมือของเสี่ยวหลี่แล้วดึงเข้ามาก่อนจะขยับเก้าอี้ออกให้นางนั่งลง หญิงสาวไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่นั่งลงข้างหลิวหลิงลี่อย่างว่าง่าย
