บทที่ 3 ฟ้าดินไร้ปรานี
บทที่ 3 ฟ้าดินไร้ปรานี
“ท่านพ่อ เหตุใดสีหน้าท่านจึงหม่นหมองเพียงนี้” หลี่เลี่ยงหรงวางสิ่งของในมือ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาเมื่อเห็นบิดากลับมาจากการประชุม สีหน้าคร่ำเคร่งผิดปกติ บัณฑิตหลี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้เก่า ๆ ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด
“แม้จะเรียกพวกเราเหล่าบัณฑิตไปด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อันใดเลย”
“อย่างไรหรือเจ้าคะ”
“พ่อกับสหายต่างเสนอวิธีการแก้ปัญหาภัยพิบัติที่กำลังรุมเร้า และยังเตือนว่าอาจจะเกิดดินถล่มได้ ให้ย้ายคนที่อยู่เชิงเขาออกมาก่อน ส่วนน้ำที่ท่วมขังก็ต้องเร่งระบาย ส่วนเรื่องอาหารนั้น ขอปันเสบียงจากขุนนางมาแบ่งให้ชาวบ้านเพื่อประทังให้ผ่านปีนี้ไปได้ แล้วค่อยคิดแก้ไขอย่างจริงจังในวันหน้า แต่เจ้าปกครองเมือง…” ดวงตาของบัณฑิตหลี่ทอดมองไปไกลก่อนถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยอีกรอบ
“แม้พวกเราจะเสนอวิธีมากมาย ที่สมเหตุสมผล ทั้งการจัดการอย่างรวดเร็วอย่างเช่นขุดทางน้ำ สร้างคันดินเอาไว้รอครั้งหน้า และยังป่าวประกาศให้เก็บเสบียง แต่เจ้าปกครองเมืองกลับไม่รับฟังเลยแม้เพียงนิด เขากลับเอาชีวิตชาวบ้านไปฝากเอาไว้กับพวกหมอผี” น้ำเสียงของบัณฑิตหลี่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
“เขาเชื่อคำที่บอกว่าหากบูชายันสตรีบริสุทธิ์แต่เทพบนสวรรค์ ภายในสองเดือน ภัยทั้งปวงจะหายไป”
“แต่อีกสองเดือนก็หมดฤดูน้ำหลากแล้ว” หลี่เลี่ยงหรงพึมพำเสียงแผ่ว
บิดามองนางอย่างเหนื่อยล้า “แม้แต่เจ้าก็ยังรู้”
“แล้วหมอผีที่ท่านพ่อว่าหมายถึงผู้ใดหรือเจ้าคะ”
“จะเป็นใครไปได้ ก็เจ้าศาลหลักเมืองไง ดีแต่รับบริจาค ปากก็พร่อแต่คำสวยหรู ทำตัวราวกับมีความรู้แจ้ง แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่พูดล้วนว่างเปล่า ไม่เคยมีเหตุผลรองรับเลยสักครั้ง โชคดีที่จำแม่นเขามักเอาช่วงเวลามาต่อรอง คนไม่รู้หรือคิดไม่ทันก็เชื่อถือเขา ต่อให้ไม่ทำอะไร อีกสองเดือนก็จบเรื่องแน่ ๆ อยู่แล้ว แต่ปีหน้าเล่า ปีต่อไปอีก จะต้องฆ่าคนอีกมากมายเท่าไรเพื่อกับความว่างเปล่านี้”
“แล้วเจ้าปกครองเมืองจะทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือเจ้าคะ” เสียงของหลี่เหลี่ยงหรงสั่นน้อย ๆ อย่างห้ามไม่ได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นนางเอง ไม่ก็สหายของนางที่ยังมิได้ออกเรือนก็จะต้องตกอยู่ในความกลัวและกังวลนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น
บิดามองบุตรสาวด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก เขาเองก็ไม่อาจจะตอบได้ แต่เมื่อเห็นบุตรสาวของตนมีท่าทีสะพรึงกลัวก็ทำได้เพียงแค่เอ่ยคำปลอบใจ
“พ่อก็หวังว่าจะไม่”
แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ภัยร้ายก็หนักขึ้น ดังคำที่เหล่าบัณฑิตเคยเอ่ยทักว่าจะเกิด แต่แทนที่เจ้าปกครองเมืองจะคิดได้ และหันกลับมารับฟังหนทางแก้ปัญหาของเหล่าบัณฑิต แก้ไขทุกสิ่งด้วยสติปัญญา เขากลับปิดหูปิดตาไม่อยากรับฟังความจริงแล้วตัดสินใจในสิ่งที่ไม่สมควรลงไป
“หากเป็นเช่นนี้ก็คงต้องทำตามคำของเจ้าศาลหลักเมือง”
“แต่ว่า...”
มือใหญ่ปัดกลางอากาศตัดบท เหล่าบัณฑิตอยากค้านแต่ไม่มีใครกล้า แม้บัณฑิตจะมีความรู้ แต่ก็ยังคงรักตัวกลัวตาย
เมืองหลินอันแห่งนี้ อยู่ใต้การปกครองของตระกูลที่มีสายเลือดครึ่งหนึ่งมาจากเชื้อสายกษัตริย์ แต่เพราะพื้นที่ไม่ได้ติดกัน ตัวเมืองก็ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง สุดท้ายจึงกลายเป็นเมืองที่ตั้งตนเป็นเมืองเดี่ยว ขนบธรรมเนียม กฎหมายของพวกเขานั้นจึงไม่ได้ขึ้นอยู่แก่ผู้ใด แต่ขึ้นอยู่กับเจ้าปกครองเมือง วัฒนธรรมแม้จะสืบมาจากราชวงศ์เดิมบ้างแต่ก็ผันเปลี่ยนไปเรื่อย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปมาก อีกทั้งเจ้าปกครองเมืองคนนี้ แม้จะหาบัณฑิตที่มีความรู้มาสั่งสอนบุตรชายเพียงคนเดียวจากบรรดาบุตรธิดานับสิบคนของตน แต่เขากลับเชื่อถือในเรื่องผีสางมากกว่า
นั่นก็คงเพราะยามเขาป่วยเคยมีหมอผีบอกให้เขาทำบางอย่าง และนั่นก็ทำให้เขาอยู่รอดมิเป็นอะไรมาจนถึงวันนี้
แต่หลินจงที่ได้รับการเรียนรู้กลับเห็นต่างบิดาตน เขาไม่ได้คิดว่าบิดาเขาโง่เขลา แต่เพราะงมงายมากจนเกินไป และเขาก็ไม่กลัวตายจึงกล้าเอ่ยค้าน
“ท่านพ่อ ทำเช่นที่เจ้าศาลหลักเมืองบอกเป็นการทำที่มิควร ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาไม่ได้ แต่ยังทำให้จิตใจของชาวบ้านสั่นไหว”
“เจ้าไม่เข้าใจ เรื่องนี้สวรรค์เป็นผู้กำหนด หากสวรรค์พิโรธ เราก็เพียงบวงสรวงให้ท่านสงบ”
“แต่ท่านพ่อสิ่งที่เราควรทำคือการแก้ปัญญามิใช่หันหนีปัญหา”
“เมื่อเจ้าเป็นเจ้าปกครองเมือง เจ้าจะทำอย่างไรก็เรื่องของเจ้า ยามนี้ยังเป็นข้า!” เขาหันไปมองเหล่าคนที่ยืนอยู่
“สามวันไม่เกินห้า พวกเจ้าจะต้องทำพิธีให้เสร็จสิ้น” คำพูดนั้นดุจคำประหาร เพราะต้องมีสตรีหนึ่งคนต้องตาย และโชคร้ายนางคือบุตรสาวของบัณฑิตหลี่ ผู้ที่ไม่เคยลงรอยกับเจ้าศาลหลักเมือง
วันรุ่งขึ้นหลังจากประกาศของเจ้าปกครองเมือง คนของศาลหลักเมืองก็มารับหลี่เหลี่ยงหรงไปจากเรือน
นางไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ เพราะหากทำเช่นนั้นบิดาของนางก็จะสิ้นชีพลงตรงหน้า วิถีปากอย่างใจอย่างของคนจากศาลหลักเมืองมีใครบ้างไม่รู้
หลี่เลี่ยงหรงเดินออกจากเรือนด้วยท่าทีสงบนิ่ง สายตาชาวบ้านนับสิบมุงมอง ทั้งเวทนา ทั้งซุบซิบ และในฝูงชนนั้นเขาก็อยู่ที่นั่น
ชายผู้ที่นางรักหมดใจ
