บทที่ 1 ตอนที่ 1
ครบรอบสิบปีของการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แฟนคลับที่ยังคงคิดถึงดาราสาวผู้ล่วงลับอย่างเหนียวแน่น แห่กันไปทำบุญ เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ซูเปอร์สตาร์ซึ่งเป็นที่รัก เพื่อเป็นการระลึกถึงว่าเธอจะเป็นขวัญใจของประชาชนไปตลอดกาล
ดาวพรายสไลด์หน้าจอมือถือ กวาดสายตามองภาพบรรยากาศงานระลึกถึงดาราสาวขวัญใจมหาชนผู้ล่วงลับไปแล้วหลายปี พลางถอนหายใจแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋าเป้ ซึ่งวางอยู่บนหน้าตัก
แม้จะเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน แต่เธอกับจันทร์พราวกลับต่างกันลิบลับ นอกจากอายุที่อ่อนเยาว์กว่าสิบห้าปีเพราะเป็นลูกหลงแล้ว เธอก็ไม่มีอะไรเทียบจันทร์พราวได้เลย
“เรือจะทอดเทียบท่าแล้ว ทุกคนเตรียมตัวลงเรือได้เลย”
เสียงตะโกนของลูกเรือทำให้ผู้โดยสารทุกคนขยับลุกไปต่อคิวรอ แต่ดาวพรายไม่รีบ เธอนั่งมองรอบๆ ตัวด้วยความแปลกใจ
แม้จะรู้มาบ้างว่าเกาะหมอกแห่งนี้มีความพิเศษพิสดารไปจากเกาะแก่งอื่นๆ แต่เธอก็ไม่อยากเชื่อสายตาว่ามันจะแตกต่างกันมากจริงๆ ก่อนเรือจะแล่นเข้ามาในเขตเกาะหมอก ยังคงมองเห็นทุกอย่างชัดเจน
จากนั้นเธอก็เห็นกลุ่มควันคล้ายเมฆก้อนใหญ่มหึมา ปกคลุมโดยทั่วอยู่เบื้องหน้า เมื่อเรือตรงเข้าไปในกลุ่มควันขาวปุยนั้น ทัศนวิสัยทุกอย่างก็มองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง
นี่คือความมหัศจรรย์ของเกาะหมอกที่เล่าลือ เพราะมันเป็นเกาะที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก ต้องขับเรือฝ่ากลุ่มหมอกควันเข้าไปหลายกิโลเมตร กว่าจะมองเห็นภาคพื้นดินของเกาะแห่งนี้ ซึ่งต้องใช้ผู้ชำนาญเส้นทางเดินเรือโดยเฉพาะ ไม่เช่นนั้นอาจพลัดหลงไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งอันตรายมากๆ
ว่ากันว่า มีน้ำวนขนาดใหญ่อยู่ใต้ทะเลแถบนั้น และพัดให้เรือจมหายไปนักต่อนัก ชาวประมง หรือนักเดินเรือต่างรู้กันดี นอกจากคนในพื้นที่แล้ว รัฐบาลกำหนดไม่ให้เรืออื่นๆ ใช้เส้นทางบริเวณเกาะหมอกนี้ ในการสัญจร
เกาะหมอกจึงกลายเป็นเกาะลับแล หนึ่งในหมู่เกาะช้างของจังหวัดตราด ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก เนื่องจากเป็นเกาะส่วนตัวด้วย จึงไม่ได้เปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วไป แม้จะมีรีสอร์ตและร้านอาหารอยู่ด้วยก็ตาม แต่ลูกค้าจะเป็นกลุ่มเล็กๆ ระดับมหาเศรษฐี ซึ่งจะติดต่อโดยตรงกับเจ้าของเกาะเท่านั้น เมื่อเรือแล่นผ่านม่านหมอกหนาทึบเข้ามาด้านใน ดาวพรายก็ต้องเบิกตามองด้วยความตะลึงใจ ช่างงดงามสมเป็นแดนลับแลโดยแท้...
หาดทรายขาวละเอียดทอดยาวไปตามแนวชายหาด น้ำทะเลใสเหมือนกระจก จนมองเห็นพื้นล่างของทะเล ซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหินน้อยใหญ่ ฝูงปลานานาชนิด ปะการัง หอยเม่น และพืชน้ำเค็ม จำพวกดอกไม้ทะเลหลากสี และสาหร่าย ที่เติบโตได้ในบริเวณน้ำไม่ลึกมากนัก แต่กะจากสายตาก็คงเกินสิบเมตร เป็นความตื่นตาตื่นใจอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน มันไม่ใช่แค่เป็นจุดใดจุดหนึ่ง
แต่ผืนน้ำทั้งรอบๆ เท่าที่ตาจะมองเห็น เป็นเช่นนั้นทั้งหมด ที่นี่คงเป็นแหล่งอนุรักษ์อย่างเข้มงวดเลยทีเดียว จึงคงรักษาธรรมชาติเอาไว้ได้อย่างงดงามเหนือจินตนาการเช่นนี้
เมื่อเรือแล่นใกล้แผ่นดินเข้าไปเรื่อยๆ เธอหันมองด้านหลังก็พบว่ามีม่านหมอกปกคลุมโดยรอบ ไม่อาจมองเห็นภายนอกเสียแล้ว
“คุณผู้หญิง...ถึงแล้ว ไม่ลงเหรอครับ”
“อ๋อ...ค่ะ แล้วฉันจะพบคุณทับทิมได้ที่ไหน” เธอได้สติจากอาการตื่นตาตื่นใจ แล้วเหวี่ยงกระเป๋าสะพายหลัง จัดแจงลากกระเป๋าผ้าอีกใบเดินลงจากเรือ พลางเอ่ยปากถามถึงจุดหมายที่ตนต้องไป
“เดี๋ยวไอ้เข้มมันจะพาคุณไปหาคุณทับทิมที่รีสอร์ตครับ โน่นไง มันเดินมาแล้ว”
ดาวพรายหันมองตามที่เด็กเรือบอก ก็เห็นชายหนุ่มอีกคนยิ้มร่าเข้ามาช่วยรับกระเป๋า แล้วกล่าวทักทายเธอ หญิงสาวยิ้มรับ จากนั้นก็ตามเข้มไปที่โรงแรม
ซีมิสต์รีสอร์ตตั้งอยู่บนเนินเขา ไล่ระดับขึ้นไปเป็นชั้นๆ ตัวรีสอร์ตและการตกแต่งเป็นสไตน์ยุโรป เน้นโทนสีขาว สวนหย่อมและตามทางเดินโดดเด่นไปด้วยดอกกุหลาบที่เลื้อยพันชูช่อออกดอกบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ แต่ตรึงใจนัก
เมื่อเดินตามขั้นบันไดสูงขึ้นมาเรื่อยๆ สองด้านข้างจะเป็นทางแยกไปยังห้องพักหลังเล็กๆ ตลอดทาง นับเป็นรีสอร์ตที่ใหญ่โตไม่น้อย แน่ล่ะ...ก็มันมีเพียงแห่งเดียว และรองรับเฉพาะลูกค้ามีเงินทั้งนั้น
เข้มพาดาวพรายไปยังด้านบนสุด ซึ่งเป็นอาคารไม้หลังใหญ่ และบอกให้เธอนั่งรอตรงโต๊ะรับรอง ด้านหน้าของประชาสัมพันธ์
เธอจึงถือโอกาสเดินไปที่ระเบียง ซึ่งทอดยาวออกไปเพื่อให้มองเห็นวิวในมุมกว้าง ด้านบนนี้สามารถมองเห็นด้านล่างได้ชัดเจน มันสวยกว่าตอนที่มองขึ้นมาเสียอีก
