ออกอาการ
ก๊อก! ก๊อก!
“เฮือก!” ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูที่ดังอยู่ข้างนอก ตอนนี้มันรู้สึกหวาดระแวงไปหมด
“คะ…ใครน่ะ?”
“ฉันเอง”
พอได้ยินเสียงเพลินค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง เพราะสิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดตอนนี้คือกลัวพี่คินน์จะตามมาเจอ
แกร้ก~ ฉันลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้คนที่มาใหม่ก่อนจะวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่านอกจากเพลินและวาวาจะไม่มีใครตามมาอีก
“แกมองหาอะไร ฉันมากับยัยวาแค่สองคน”
“แล้วกวินล่ะ?”
“ไอ้วินติดแก้งานกับอาจารย์ที่มหาลัย เลยไม่ได้ตามมา”
“…..”
“แต่มันฝากของมาให้แกด้วยนะ”
“ขอบใจมาก” ฉันรับสิ่งของที่เพลินยื่นให้ มันคือของกินและผลไม้มากมายหลายอย่างที่กวินฝากมา
“แกจะอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอ?” เพลินถามขึ้นอีกครั้ง พร้อมมองไปรอบๆ ห้องที่ฉันอยู่ สายตาของเธอดูไม่ค่อยเชื่อว่าฉันจะอยู่ที่นี่ได้จริงๆ
สถานที่ฉันอยู่มันคืออพาร์ตเมนต์ขนาดกลาง ราคาเช่าต่อเดือนแค่ไม่กี่พัน พวกเฟอร์นิเจอร์ก็มีแค่ไม่กี่อย่าง แต่สำหรับฉันแล้วสามารถอยู่ที่นี่ได้แบบสบายมาก เพราะมันอยู่ใกล้มหาลัยและที่ทำงาน
“อืม” ฉันพยักหน้าตอบสั้นๆ
“อยู่ได้แน่นะ มันจะไม่เป็นไรใช่ไหม?” วาวาทวนถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ฉันอยู่ได้สบายมาก พวกแกไม่ต้องเป็นห่วง”
“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง ที่นี่ทั้งโทรมทั้งเก่า”
“อยู่แค่ชั่วคราวไปก่อน เอาไว้เข้าที่เข้าทางแล้วค่อยขยับขยายย้ายไปอยู่ที่อื่น”
“แล้วไปสมัครงานเป็นยังไงบ้าง?”
“ได้เริ่มงานพรุ่งนี้ เข้างานหกโมงเย็น เลิกงานสี่ทุ่ม” ร้านที่ไปสมัครงานคือร้านฟาสต์ฟู้ด ส่วนฉันได้รับตำแหน่งเป็นเด็กล้างจานอยู่ในครัว
“ความจริงแกอยู่บ้านป้าก็ดีอยู่แล้ว จะย้ายออกมาทำไมให้วุ่นวาย” วาวายังคงถามต่อ ฉันแค่บอกว่าย้ายออกจากบ้านมา แต่ไม่ได้บอกเหตุผลว่าเพราะอะไร
“ฉันเห็นด้วยกับยัยวา อยู่บ้านป้าก็ดีอยู่แล้ว จะออกมาลำบากทำไม”
“…..”
“หรือแกมีปัญหาอะไรกับที่บ้านงั้นเหรอ?”
“มันเป็นความต้องการของฉันเอง ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก” ฉันเลือกที่จะพูดออกไปแค่นั้น เพราะอยากจบปัญหาไม่อยากให้เพื่อนถามไปมากกว่านี้
มหาวิทยาลัย
“นับดาว” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง ก่อนที่ฉันจะหันไปมองแล้วเห็นว่าเป็นพี่ครามที่เดินตรงมาหา
“พี่คราม”
“เราพักเที่ยงแล้วใช่ไหม พี่ว่าจะชวนไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน”
“เอ่อ…”
“พี่มาคนเดียว ส่วนไอ้คินน์ไม่ได้ตามมา” พี่ครามพูดขึ้นราวกับรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่
ฉันเป็นคนขอร้องพี่ครามว่าอย่าบอกพี่คินน์เรื่องที่อยู่ โดยที่ให้เหตุผลว่าไม่อยากถูกระราน พี่ครามรับปากอย่างว่าง่ายและไม่ได้ถามอะไรต่อ
ร้านอาหารที่พี่ครามพามา เป็นร้านอาหารตามสั่งธรรมดาที่อยู่หลังมหาลัย คนในร้านค่อนข้างเยอะ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกนักศึกษา
“นับจะกินอะไร?”
“ขอเป็นข้าวผัดรวมมิตรค่ะ”
“งั้นรอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่ไปสั่งข้าวให้”
ฉันมองตามแผ่นหลังของพี่ครามที่เดินออกไป ก่อนใบหน้าของคนใจร้ายจะลอยวนเข้ามาในความคิด ถ้าเขาใจดีกับฉันได้สักครึ่งของพี่คราม ทุกอย่างมันคงจะดีกว่านี้
“ที่อยู่ใหม่เป็นยังไงบ้าง พออยู่ได้ไหม?”
“อยู่ได้ค่ะ สบายมาก ลำบากกว่านี้นับก็เคยอยู่มาแล้ว”
“เรานี่เก่งกว่าที่พี่คิดไว้อีกนะ” มือหนาของพี่ครามเลื่อนมาลูบศรีษะฉันด้วยความเอ็นดู สายตาที่เขามองมามันช่างอบอุ่นมากจริงๆ
“ไม่ต้องเป็นห่วงนับนะคะ นับเอาตัวรอดได้จริงๆ”
“พี่เห็นเราเข้มแข็งได้แบบนี้ก็สบายใจ”
“ว่าแต่ป้าลีเป็นยังไงบ้างคะ?”
“เห็นบ่นคิดถึงนับ ถ้าว่างก็อย่าลืมแวะเข้ามาหาแม่หน่อยแล้วกัน”
“ฝากความคิดถึงไปให้ป้าด้วยนะคะ ถ้าอาทิตย์นี้ไม่ติดงาน นับจะแวะเข้าไปเยี่ยม” ฉันยิ้มหวานตอบกลับ ไม่ใช่แค่ป้าที่คิดถึง ฉันก็คิดถึงป้าไม่แพ้กัน
“ข้าวผัดรวมมิตรกับกับผัดฉ่าทะเลได้แล้วจ้ะสุดหล่อ” แม่ค้ายกจานข้าวมาเสิร์ฟก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองพี่ครามที่นั่งอยู่
ฉันรีบเบือนหน้าหันหนีเมื่อได้กลิ่นของอาหารที่ลอยมาเตะจมูก มันเหม็นจนรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นอะไรไป?”
“เปล่าค่ะ นับแค่รู้สึกฉุนกลิ่นเครื่องเทศผัดฉ่า”
“ฉุนมากเลยเหรอ?”
“มากค่ะ” ฉันพยักหน้ารับแทนคำตอบ พี่ครามดูหน้าเสียไปเลย หลังจากเห็นสีหน้าของฉัน
“เดี๋ยวพี่เปลี่ยนเป็นเมนูใหม่แล้วกัน”
“ไม่เป็นไร พี่กินเถอะค่ะ นับทนได้”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจค่ะ ใกล้ได้เวลาแล้ว นับกลัวว่าพี่จะเข้าเรียนไม่ทัน”
“…..”
“หน้าตาเราดูเหนื่อยๆ อย่าลืมหาเวลาพักผ่อนด้วยนะ”
“ค่ะ” ฉันยิ้มรับบางๆ ก่อนจะฝืนทานอาหารที่สั่งมา
