บท
ตั้งค่า

บทนำ

บทนำ

ประเทศไทย พ.ศ.2528

ร่างสูงใหญ่ของประมุขแห่งตระกูลหยางกำลังประคับประคองร่างอวบอิ่มของคุณนายหยาง ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ทายาทคนที่สองของตระกูล เด็กชาย หยางโจวหมิงในวัย 4 ขวบ มองภาพการแสดงความรักของพ่อและแม่ด้วยตาเป็นประกาย เด็กน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่งกายด้วยชุดหล่อเหลาสมกับความเป็นคุณชายของตระกูลใหญ่แห่งเกาะฮ่องกง วันนี้เป็นวันเกิดของมารดาหรือหยางเสี่ยวผิง คุณนายหยางผู้แสนงดงามซึ่งเกิดวันเดียวกับคุณทิพวรรณ อัคราบริรักษ์ ภรรยาของนักธุรกิจใหญ่ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย

ตระกูลหยางและตระกูลอัคราบริรักษ์ถือเป็นตระกูลเพื่อนซี้กันมาแสนนาน ยิ่งได้ร่วมทำการค้าขายด้วยกันแล้วก็ยิ่งเพิ่มความสนิทสนมจนแทบจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน หยางเฟ่ยหลงประมุขของตระกูลมักจะเดินทางไปมาหาสู่กับนายอรรถวัฒน์ อัคราบริรักษ์ แม้กระทั่งการไปเที่ยวรอบโลกก็ยังไปด้วยกัน ทั้งคู่ดื่มน้ำร่วมสาบานว่าจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป โดยไม่คิดว่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ในวันข้างหน้า

“ผมดีใจมากที่พี่เฟ่ยหลงอุตส่าห์บินมาจัดงานวันเกิดพร้อมกับเราที่นี่” นายอรรถวัฒน์โอบนางทิพวรรณ เดินเคียงข้างหยางเฟ่ยหลงที่กำลังโอบคุณนายหยางไปจนถึงโต๊ะที่ประดับประดาด้วยเทียนหลากสี กลางโต๊ะมีเค้กก้อนโตสว่างไสวเพราะถูกจุดเทียนเตรียมพร้อมแล้ว

“เกิดพร้อมกัน ก็ถือโอกาสเลี้ยงพร้อมกันไปเลย คนเยอะก็ยิ่งสนุกว่ามั้ย”

“เค้กพร้อมแล้ว” เสียงใครบางคนบอก ก่อนเสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์พร้อมเสียงปรบมือจะดังขึ้น ทุกคนในที่นั้นมีรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้า มองไปทางไหนก็เห็นแต่เพียงความสุขเหมือนกับเสียงเพลงที่ช่วยกันขับร้องประสานเสียง

หยางเสี่ยวผิงจับมือทิพวรรณ เมื่อเสียงเพลงจบทั้งคู่ก็ก้มลงเป่าเค้ก

“ขอให้พี่เสี่ยวผิงมีความสุขสมหวังและมีรักที่ยั่งยืนนาน มีหลานที่น่ารักให้ทิพอีกคนนะคะ” ทิพวรรณอวยพรหยางเสี่ยวผิง พร้อมกับบีบมือนุ่มของคุณนายหยาง

“พี่ก็ขอให้น้องทิพมีความสุขสมหวังและมีหลานให้พี่ไวๆ นะจ๊ะ” คุณนายหยางอวยพรยิ้มๆ แล้วทั้งคู่ก็สวมกอดกัน

ในขณะที่กำลังดื่มด่ำกับความสุขกายสุขใจและบรรยากาศที่แสนจะงดงาม หยางเสี่ยวผิงก็รู้สึกถึงความผิดปกติเหนือหน้าท้องนูนใหญ่ของตน อาการเจ็บแปลบเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และทวีความหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเจ็บปวดของหยางเสี่ยวผิงทำให้ทิพวรรณและคนรอบข้างต้องมองอย่างเป็นห่วง

“พี่เสี่ยวผิงเป็นอะไรไปคะ” ทิพวรรณร้องถาม ในขณะที่หยางเฟ่ยหลงเข้ามาประคองร่างภรรยา

“นั่นสิ เสี่ยวผิงเป็นอะไรไป เจ็บท้องเหรอ”

“อูย...พี่เฟ่ยหลง ดูท่าว่าลูกเราอยากออกมาดูโลกแล้วค่ะ”

“จริงเหรอ งั้นไป พี่จะพาเสี่ยวผิงไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”

“ให้เอกรัตน์ขับรถไปให้นะคะ เอ...หรือว่าเราจะไปพร้อมกันหมดแล้วให้คุณอรรถขับรถให้” ทิพวรรณออกความเห็นพลางซับเหงื่อบนใบหน้าของหยางเสี่ยวผิง

“ให้ผมขับรถให้ดีกว่านะครับ คุณอรรถกับคุณทิพค่อยขับรถตามมา จะได้ไม่เบียดกันเกินไป” เอกรัตน์รีบบอก

ความหวังดีของเขาไม่ถูกปฏิเสธ เพราะไม่มีใครอยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกันสักนาทีเดียว และหยางเฟ่ยหลงก็เป็นห่วงภรรยาจนไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติ สายตาของคนที่อาสาอยากเป็นสารถีมองคุณนายหยางและท้องโตๆ ของเธอยังไง สายตาลุกวาวแปลกประหลาดนั้นไม่มีใครได้เห็น

ในเวลาต่อมาในรถคันหรูของตระกูลอัคราบริรักษ์คันแรก จึงมีเอกรัตน์เป็นสารถีและมีประมุขกับคุณนายหยางอยู่บนเบาะหลัง

เสียงโอดครวญดังเป็นระยะพร้อมกับเหงื่อเม็ดโตที่พร้อมใจกันผุดขึ้นเต็มใบหน้า มือบางจิกบนหลังมือหนาของสามีแน่นราวกับต้องการถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ได้รู้ แต่หยางเฟ่ยหลงก็ยินดีที่จะรู้จักความเจ็บปวดก่อนความยินดีจังบังเกิด

“ทำใจดีๆ ไว้นะเสี่ยวผิง ไม่ต้องกังวล ลูกเราคนนี้จะต้องแข็งแรง”

“โอ๊ย! พี่เฟ่ยหลง” สิ้นคำถุงน้ำคร่ำก็แตกโพละ น้ำใสๆ ไหลอาบเรียวขาอวบ “ลูก...ลูก...”

“นี่นาย! ขับรถเร็วๆ กว่านี้ไม่ได้รึไง หรือจะให้ฉันขับเอง ห๊า!!” เพราะความเร็วรถที่ไม่ต่างจากเต่าคลานนักในความคิดของหยางเฟ่ยหลง ทำให้เขาเกือบกระชากคอเสื้อคนขับรถแล้วอัดให้ยับคาพวงมาลัย แต่เพราะมีร่างอิ่มในอ้อมแขนสิ่งที่ทำให้จึงเป็นเพียงตะคอกเสียงหลง

“จะช้าจะเร็ว เด็กก็ต้องออกอยู่วันยังค่ำ แต่...”

“แต่อะไร” ด้วยความเป็นมาเฟียทำให้ประมุขของตระกูลหยางเอะใจ หากแต่มือยังไม่ทันดึงปืนออกมาจากซอกแขน ปืนอีกกระบอกก็หันมาหาเมียรักเสียก่อน “นี่แก!!! จะทำอะไร”

“ตายไง ไปคลอดลูกในนรกพร้อมกัน 3 คน เลยดีกว่า”

สิ้นคำพูดคันเร่งก็ถูกเหยียบจนจม รถคันงามพุ่งทะยานไปข้างหน้าราวติดปีก หยางเฟ่ยหลงกอดภรรยาไว้แน่น ถ้าไม่ถูกจ่อด้วยกระบอกปืนล่ะก็ เขาสาบานว่าจะจบคำพูดของมันพร้อมชีวิตของตัวมันเอง แต่แบบนี้เขาไม่อยากเสี่ยง

“แกต้องการอะไร ทำแบบนี้เพื่ออะไร”

“ผมต้องการในสิ่งที่พวกคุณไม่มีทางให้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องถาม เตรียมตัวตายพร้อมกันดีกว่า ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”

ภาพตรงหน้ารวดเร็วจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น เมื่อรถคันโก้เสียหลักพลิกหลายตลบ หยางเฟ่ยหลงมองเห็นภาพปัจจุบันทันด่วนเบลอ รับรู้ได้ถึงแรงเหวี่ยงไปมาจนเจ็บไปทั่วร่างและจากนั้นสติของเขาก็ดับวูบไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป

“คุณอรรถดูนั่นสิคะ” ทิพวรรณตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นจนแทบเป็นลม จู่ๆ รถของหยางเฟ่ยหลงและหยางเสี่ยวผิงก็เร่งความเร็วแล้วตีลังกาหลายตลบ

“คุณพ่อ คุณแม่!!!” เสียงเด็กชายหยางโจวหมิงร้องลั่นรถ ดวงตาคู่นั้นเบิกค้างก่อนน้ำตาจะค่อยๆ กลิ้งลงอาบสองแก้ม

ณ โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

นายอรรถวัฒน์เดินวนอยู่หน้าห้องไอซียู โดยมีนางทิพวรรณและคุณชายน้อยหยางโจวหมิงนั่งตัวสั่นอยู่เคียงข้างกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่มีใครคิดว่าวันเกิดที่เกือบจะควบสามจะกลายเป็นวันเสียน้ำตา และไม่อาจลืมเลือนได้

“คุณพ่อ คุณแม่ของผมจะเป็นอะไรมั้ยฮะ” คุณชายน้อยหยางโจวหมิงเงยหน้าตาแดงช้ำมองไปทางห้องไอซียู ทิพวรรณกอดร่างน้อยแน่นจนรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่ซึมผ่านเสื้อเนื้อดีของเธอ

“คุณหยางจะต้องไม่เป็นอะไร เชื้อน้านะจ๊ะ”

แต่ไม่ว่าเธอจะปลอบใจเด็กน้อยยังไง ร่างเล็กก็ยังสั่นเป็นเจ้าเข้าไม่หาย เธอรู้ดีว่าการปลอบโยนคงไม่เป็นผล แต่เธอไม่มีหนทางจะทำอะไรอีกแล้ว

“คุณหมอ อาการคนเจ็บเป็นยังไงบ้างครับ” นายอรรถวัฒน์ละล่ำละลักถามหมอและรอฟังคำตอบจนใจสั่นระรัว

“เด็กปลอดภัยครับ เป็นผู้หญิง แต่...แม่ของเด็ก หมอพยายามจนสุดความสามารถแล้ว เสียใจด้วยครับ”

“แล้วหยางเฟ่ยหลงล่ะหมอ บอกผมว่าหยางเฟ่ยหลงเป็นยังไงบ้าง”

“คุณหยางเฟ่ยหลงยังไม่ได้สติครับ เราต้องรอให้ฟื้นก่อนถึงจะตอบได้ว่าปลอดภัยหรือไม่”

“คุณหมอต้องช่วยหยางเฟ่ยหลงให้ได้ ไม่ว่าจะเสียเงินเท่าไหร่ ผมก็ยอม”

คุณหมอถอนใจอย่างหนักอก แต่ก็ยอมพยักหน้าแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องไอซียูอีกครั้ง

เวลาผ่านไป 3 วัน หยางเฟ่ยหลงก็ลืมตาขึ้นมา สร้างความอลหม่านไปทั่วโรงพยาบาล เมื่อมาเฟียแห่งเกาะฮ่องกงต้องการให้หมอยื้อชีวิตของเมียรัก

“คุณหยางเสี่ยวผิงเสียชีวิตไป 3 วันแล้วนะครับ”

“ผมไม่สน แต่หมอจะต้องทำให้เธอหายใจให้ได้”

ไม่พูดเปล่า แต่ปืนในซองที่เหน็บข้างเอวของลูกสมุนถูกดึงไปจ่อหน้าหมอ ริมฝีปากบางเฉียบแสยะยิ้มให้รู้ว่าไม่มีอะไรจะเสีย นอกจากต้องการขอชีวิตของเมียรักคืน

“พี่เฟ่ยหลงอย่า!” นายอรรถวัฒน์เข้ามาห้ามแล้วแย่งปืนไปจากมือหนา แต่หยางเฟ่ยหลงสติแตกซัดกำปั้นเข้าใส่ใบหน้าของเพื่อนรักเต็มแรง

“แกน่ะ พวกแกทุกคนจะต้องชดใช้” เขาบอกเสียงลอดไรฟัน ชี้หน้านายอรรถวัฒน์อย่างโกรธแค้น ดวงตาบนใบหน้าแตกยับแดงก่ำและวาวโรจน์ ร่างใหญ่ยังอยู่ในชุดคนไข้ใต้ผืนผ้านั้นมีบาดแผลหลายจุด แต่เวลานี้ความเจ็บปวดทางใจมันมากกว่าความเจ็บปวดทางกายจนวัดค่าไม่ได้

“พี่เฟ่ยหลง มันเป็นอุบัติเหตุนะคะ” ทิพวรรณร้องบอก เข้าไปประคองสามีที่ทรุดเพราะหมัดลุ่นๆ

“ใครว่า ไอ้เอกรัตน์มันตั้งใจจะฆ่าพวกฉันให้ตายไปพร้อมมัน ไอ้ชั่วนั่นมันต้องถูกใครสั่งให้ทำแน่ๆ พวกแกใช่มั้ย พวกอัคราบริรักษ์สั่งให้ฆ่าพวกฉันใช่มั้ย ทำไม!!!”

แล้วบุรุษพยาบาลก็แห่กันเข้ามาจับร่างหยางเฟ่ยหลง แล้วฉีดยาระงับประสาทให้จนร่างใหญ่อ่อนระทวยลง นั่นแหละความอลหม่านถึงได้หมด หากแต่ร่างเล็กที่ซุกเงียบอยู่เบื้องหลังลูกน้องคนหนึ่งของหยางเฟ่ยหลง มองดูเหตุการณ์นั้นและจดจำทุกคำพูดของพ่อฝังใจ

นายอรรถวัฒน์และนางทิพวรรณติดตามเรื่องนี้กับตำรวจอย่างเหนียวแน่น และได้ความว่าทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุจากการขับรถเร็วเกินไป ทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำและเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นดังกล่าว

เมื่อประมุขแห่งตระกูลหยางรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาถูกพันธนาการด้วยเชือกที่มัดข้อมือไว้กับเตียงคนไข้ เขาดิ้นรนเยื้อยุดและตะโกนเสียงดัง จนคุณชายน้อยอย่างหยางโจวหมิงต้องเดินเข้ามาหา เป็นผลให้บิดาสงบสติอารมณ์ได้ไม่ยาก

“โจวหมิงลูกพ่อ”

“คุณพ่ออย่าดิ้นนะครับ เดี๋ยวคุณพ่อจะเจ็บอีก” เด็กน้อยพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยความเป็นเด็กอ่อนใสต่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกกลมๆ ใบนี้ ทำให้ดวงตาของบิดาเอ่อด้วยน้ำตา

“พ่อไม่เจ็บลูก แต่...แม่ของลูกเจ็บจนตาย เพราะมัน เป็นเพราะพวกมันทั้งหมด โจวหมิง เข้ามาใกล้ๆ พ่อหน่อยสิลูก”

ร่างเล็กเดินเข้าไปใกล้ ศีรษะของเด็กน้อยสูงถึงขอบเตียงคนไข้ที่บิดานอนอยู่

“ถ้าพ่อเป็นอะไรไป จำเอาไว้นะโจวหมิง พวกอัคราบริรักษ์ไม่ใช่คนดี พวกมันไม่ใช่พวกเราอีกต่อไป”

“แต่...อาอรรถกับน้าทิพ บอกผมว่าไม่รู้เรื่อง เอก...”

“อย่าไปเชื่อ ไอ้เอกรัตน์เป็นคนของพวกมัน ถ้าไม่ได้รับคำสั่งแล้วมันจะกล้าปลิดชีวิตตัวเอง เพื่อฆ่าพ่อกับแม่รึ”

คุณชายน้อยตระกูลหยางสบตาบิดาอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ใจสะอาดของเด็กน้อยยังไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี อากับน้าชาวไทยก็เป็นคนดีมาตลอด แต่นี่ก็พ่อจะไม่เชื่อก็กระไรอยู่

“นี่ยังดีที่ลูกกับน้องรอดมาได้ ต่อไปโจวหมิงจะต้องเป็นพญามังกร ลูกจะต้องเข้มแข็งและห้ามใจอ่อนเด็ดขาด ศัตรูมันจะใช้ความใจอ่อนเป็นช่องทางทิ่มแทงเรา ต่อไปนี้ระหว่างตระกูลหยางและอัคราบริรักษ์ จะไม่มีคำว่าเพื่อน พวกมันคือศัตรูของเรา จำไว้นะโจวหมิง”

ริมฝีปากบางเล็กสั่นระริกราวกับกำลังชั่งใจว่าควรจะพูดอะไรออกไป

“จำไว้นะโจวหมิง! บอกพ่อสิว่าจะจำไว้” บิดาถามเสียงห้วนห้าวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เล่นเอาร่างเล็กถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจกลัว หยางเฟ่ยหลงต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจะลดระดับเสียงให้เบาลง “ลูกพ่อ สิ่งที่พ่อสั่งเป็นสิ่งที่เจ้าควรจะทำตามที่สุด พวกอัคราบริรักษ์มันฆ่าแม่ของลูก ถึงมันจะไม่ได้ลงมือเอง แต่มันก็สั่งให้คนของมันทำ พ่ออยู่ในรถคันนั้น กอดแม่กับน้องในท้องและมีเสียงร้องคร่ำครวญของแม่ ซึ่งแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของความหวาดกลัวหรือเสียงของการเจ็บท้อง ไอ้เอกรัตน์มันจ่อปืนมาตรงหน้า นั่นคือสิ่งที่ทำให้แม่หวาดกลัว พ่อ...แน่ใจว่าเป็นอย่างนั้น มันอุทิศตนสิ้นทั้งชีวิตเพื่อฆ่าเรา เพื่ออัคราบริรักษ์”

“ทำไมครับ”

“พวกมันคงหวังจะเป็นใหญ่ทางการค้า เรื่องราวมันซับซ้อนแต่ตอนนี้พ่อไม่อาจทำให้ลูกเข้าใจได้ แค่จำไว้อย่างเดียวว่าพวกอัคราบริรักษ์เป็นศัตรูกับเรา เข้าใจมั้ยโจวหมิง”

เด็กชายหยางโจวหมิงมองเห็นความเจ็บปวดที่สะท้อนอยู่ในแววตาของบิดา แม้เขาจะไม่เข้าใจความหมายที่พ่อพูดสักเท่าไหร่ แต่ภาพแม่ในอ้อมแขนของพ่อก็วาดลึกอยู่ในจิตใจ มันคงจะดีหากไม่มีปืนจ่อไปที่แม่ ดวงตาสีสนิมเหมือนคนเป็นพ่อหลุบลง ก่อนใบหน้าเล็กจะพยักหงึกหงัก

“ครับพ่อ ผมจะจำไว้”

6 เดือนต่อมา

นางทิพวรรณให้กำเนิดลูกชายคนแรกของตระกูลอัคราบริรักษ์ ความทรงจำในช่วงที่เธอยังไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ตั้งแต่ 3 เดือนแรก ยังคงเป็นภาพหลอน จนกระทั่งในเวลาที่เธอถูกเข็นเข้าห้องคลอด ภาพของหยางเสี่ยวผิงก็ปรากฏทุกครั้งที่หลับตา ความผิดที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนก่อ และเพราะอะไรนั้นทำให้เธอเหมือนตกอยู่ในบ่วงกรรม

“อุแว๊ๆ” เสียงทารกร้องจ้าเรียกให้คนเป็นแม่ต้องสะดุ้ง

“โอ๋...ธัชชัยลูกแม่ ลูกน้อยของแม่ อย่าร้องนะคนดี”

เธอปลอบเสียงอ่อนโยน ก่อนป้อนนมลูกจากทรวงอกอิ่มของตัวเอง

“ตู๊ด...ตู๊ด”

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อึดใจต่อมาร่างอวบท้วมของสรวงสุดาก็วิ่งกระหืดกระหอบพร้อมกับโทรศัพท์ไร้สายในมือ

“โทรศัพท์ของคุณค่ะ”

“ขอบใจจ้ะ” ทิพวรรณรับไว้ เอียงหน้าแล้วพูดใส่กระบอกโทรศัพท์ “ทิพวรรณพูดค่ะ”

“ฉันเอง หยางเฟ่ยหลง”

“พี่เฟ่ยหลง!!”

เสียงสั่นเกือบจะเป็นเสียงครางดังพอสมควร ทำให้ใบหูของคนที่อยู่บริเวณนั้นถึงกับกระดิกแล้วเงี่ยหูฟังการสนทนานั้นอย่างตั้งใจ

“ตอนนี้ฉันอยู่กรุงเทพฯ และฉันต้องการพบเธอ”

“มีอะไรกับทิพหรือคะ”

“ฉันมีเรื่องบางเรื่องที่ต้องพูดกับเธอ...วันนี้”

“...” ทิพวรรณนิ่งคิดไปนาน เธอต้องการรู้ว่าหยางเฟ่ยหลงมีเรื่องอะไรจะพูดกับเธอ แต่...มันจะเป็นการดีหรือ ถ้าเธอจะต้องเดินทางไปพบคนที่เกลียดอัคราบริรักษ์ตามลำพัง หยางเฟ่ยหลงอันตรายแค่ไหนใครๆ ก็รู้ ความโกรธของมาเฟียใหญ่ไม่มีทางดับลงง่ายๆ เขาจะมีแผนการอะไรอยู่ในหัว นั่นคือสิ่งที่ต้องค้นหาพอๆ กับเป็นสิ่งที่ควรหวาดกลัว

“อย่าคิดนานนักทิพวรรณ เพราะฉันไม่ใจเย็นมากพอจะรอเธอได้ ถ้าเธอไม่ออกมาพบฉันวันนี้ ฉันจะเป็นฝ่ายไปหาเธอที่นั่นเอง และ...ฉันจะไม่ไว้ชีวิตอัครบริรักษ์แม้สักคนเดียว”

“พี่เฟ่ยหลง”

“ฉันไม่ใช่พี่ของเธอ! ตระกูลหยางและอัคราบริรักษ์ไม่ใช่พี่น้องกันอีกต่อไป!!”

“อะ...เอ่อ...คุณหยางมีอะไรจะพูดกับฉันหรือคะ ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป คุยกันทางโทรศัพท์ได้...”

“เธอคิดว่าฉันดั้นด้นมาเมืองไทย เพื่อจะมาคุยโทรศัพท์ในประเทศกับเธองั้นเรอะ อีก 3 ชั่วโมง ถ้าเธอไม่ออกมาพบฉันล่ะก็ เตรียมพร้อมรับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เลย”

“ตกลงค่ะ แต่ฉันขอพาคนของฉันไปด้วยได้รึเปล่า คือ...ว่าฉัน...”

“ขี้ขลาด! แต่ก็เอาเถอะ ฉันเห็นว่าเธอเป็นแม่ลูกอ่อน จะยอมให้เธอสักข้อก็ได้ แล้วพบกันที่...ถ้า 3 ชั่วโมง ฉันไม่เห็นเธอล่ะก็ เตรียมฟังข่าวร้ายได้เลย”

หยางเฟ่ยหลงวางสายไปแล้ว แต่มือที่ถือหูโทรศัพท์ของทิพวรรณก็ยังสั่น เธอจะยอมให้เกิดเรื่องเศร้ากับครอบครัวอัคราบริรักษ์ไม่ได้ เธอยังมีลูกน้อยและเขาจะต้องเติบใหญ่ ฉะนั้นเธอจะขอเสี่ยงกับอะไรก็ตามที่กำลังรอเธออยู่ข้างหน้า

“สรวงสุดา” เธอตะโกนเรียกคนที่เป็นทั้งคนรับใช้ และพี่เลี้ยงลูกของเธอ

“ขา”

ทิพวรรณมองสาวร่างท้วมอย่างเป็นกังวล ไม่ใช่กังวลว่าสรวงสุดาจะเลี้ยงธัชชัยไม่ได้ หากแต่ความรู้สึกบางอย่างพุ่งวาบเข้าหัวใจ มันบอกว่าบางทีเธออาจไม่ได้กลับมาพบหน้าลูกอีก ใจหนึ่งสั่งให้เธอบอกเรื่องนี้แก่อรรถวัฒน์แต่อีกใจก็คัดค้านเพราะมันเสี่ยงเกินไป แน่นอนว่าสามีของเธอจะไม่ยอมให้เธอออกไปพบหยางเฟ่ยหลง แต่ถ้าเธอไม่ไปพบ ทุกคนในอัคราบริรักษ์อาจจะถึงจุดจบ

เธอไม่รู้ว่าหยางเฟ่ยหลงจะทำอย่างที่ขู่หรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจนักก็คือ ความร้ายกาจของตระกูลหยาง มังกรใหญ่แห่งเกาะฮ่องกงร้ายกว่ามาเฟียทุกแก๊งบนเกาะฮ่องกง

“ดูแลตาหนูธัชชัยให้ดีๆ นะ ฉันฝากแกไว้กับเธอด้วย”

“คุณจะไปไหนคะ”

“ฉันมีธุระสำคัญจะต้องทำ”

“ได้ค่ะ ดิฉันจะดูแลคุณหนูให้เป็นอย่างดี ไม่ต้องห่วงนะคะ”

ทิพวรรณพยักหน้าแล้วตบบ่าหนาของสรวงสุดา ก่อนจะหันไปอุ้มทารกน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน จุมพิตแผ่วเบาเหนือหน้าผากเล็กและไต่ลงยังพวงแก้มสีแดงนุ่มของลูกรัก

“เป็นเด็กดีนะลูก...ธัชชัย”

นั่นเป็นประโยคเดียวและประโยคสุดท้ายที่เธอได้พูดกับลูกน้อย ไม่มีน้ำตาให้เห็นแม้หัวใจจะสั่นเทาเหมือนคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาว เธอถามตัวเองว่าจำเป็นด้วยเหรอที่ต้องทำตามคำสั่งของมาเฟียใหญ่ บ้านเมืองมีขื่อมีแปรจะต้องกลัวอะไรกับคำข่มขู่ของเขา และคำตอบที่ได้รับซึ่งเปล่งเสียงออกมาให้ได้ยินเพียงลำพัง ก็คือคำว่าอดีตที่เธอเคยเฝ้าถวิลหาแต่หยางเฟ่ยหลง

ผู้ชายคนนั้นคืออดีตคนที่เธอเคยรัก และเธอก็ยังคงความรู้สึกดีๆ ไว้ให้เขาอีกมากมาย

“ไปตามนายอุทิศให้ฉันที ฉันจะให้เขาขับรถให้”

“ค่ะ”

ร่างสูงใหญ่ของหยางเฟ่ยหลงไม่ได้อยู่ในสถานที่นัดพบ แต่อยู่ด้านหน้าและอิงสะโพกหมิ่นๆ กับกระโปรงรถ มีผู้ชายใส่สูทหลายคนยืนอยู่ใกล้ๆ พวกนั้นเป็นบอดี้การ์ดของเขา ท่าทีเหมือนไม่ใส่ใจหากแต่ความจริงทุกคนกำลังพุ่งความสนใจไปยังทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเจ้านายใหญ่

ทิพวรรณลงจากรถ พาแข้งขาสั่นๆ เดินเข้าไปหามาเฟียฮ่องกง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พอได้สบตาคมสีสนิมนั้นเข้า มือไม้ก็พานจะอ่อนแรงลงดื้อๆ แต่บัดนี้เขาไม่มีรอยยิ้มให้เธอเหมือนแต่ก่อน เรียวปากบางได้รูปสวยบิดเบ้ลงราวจะเยาะหยันในตัวเธอ

“เก่งนี่ที่กล้ามา” หยางเฟ่ยหลงหยัดตัวขึ้นยืนจังก้า ถอดแว่นกันแดดสีดำออกจากใบหน้า

“คุณมีเรื่องอะไรจะพูดกับฉันคะ” ในเมื่อได้เจอกันแล้ว ทิพวรรณก็ไม่อยากเสียเวลา เธอรีบถามเขาถึงสาเหตุที่ต้องเรียกตัวเธอออกมาแบบนี้

“ขึ้นรถสิ” ชายหนุ่มไม่ตอบกลับชวนเธอขึ้นรถไปด้วยซะงั้น

“ฉันว่าเราควรจะคุยกันที่นี่ดีกว่า”

“เธอมีสิทธิ์ที่จะต่อรองด้วยเหรอทิพวรรณ ถ้าเธอไม่ห่วงชีวิตใครๆ ก็น่าจะห่วงชีวิตแรกเกิดของลูกเธอสักนิดนะ”

“ไม่มีประโยชนที่คุณจะเอาตาธัชมาข่มขู่ฉัน”

“ทำไม หรือเธอเป็นแม่ที่ไม่รักลูกกันล่ะ”

“ได้โปรด...พูดธุระของคุณมาเถอะค่ะ ฉันอยากรู้ว่าคุณต้องการอะไรจากฉัน” ทิพวรรณบอกเสียงอ่อน เธออยากให้มันจบๆ ไปจะได้กลับไปหาลูก เธอไม่ต้องการหวั่นไหวและใจอ่อนกับเขา พยายามคิดถึงครอบครัว คิดถึงสามีและลูกให้มากกว่าคนตรงหน้า มันทำได้ไม่ยากนักเมื่อเห็นภาพครอบครัวอันแสนอบอุ่น

“ขึ้นรถ” หยางเฟ่ยหลงยังยืนยันคำเดิม คราวนี้บอดี้การ์ดของเขาเปิดประตูรถรอเธอ

“แต่ฉันมากับคนของฉัน”

“ไม่ต้องห่วง จะไม่มีใครทำอะไรคนของเธอได้”

ทิพวรรณหันไปมองรถของตนที่จอดอยู่ ดวงตาของเธอกวาดมองเข้าไปยังคนขับรถ น่าแปลกที่เธอมองไม่เห็นอุทิศ หรือว่าเขาจะลงจากรถไปไหนสักแห่ง หรือเขาถูกกันให้ออกห่างเธอ ความคิดต่างๆ นานาประเดประดังกันเข้ามา ทั้งเป็นห่วงลูกน้องและหวาดกลัวคนตรงหน้า

แล้วท้ายสุดหญิงสาวก็จำใจต้องขึ้นไปนั่งบนเบาะหลัง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเบียดเข้าไปนั่งเคียงข้าง

“ฉันอยากให้เธอหว่านล้อมให้ไอ้อรรถวัฒน์ยกหุ้นอัครา(กรุ๊ป)ให้ฉัน ฉันต้องการหุ้นทั้งหมดที่เป็นส่วนของเธอและไอ้อรรถวัฒน์”

“ทำไมคะ คุณก็มีธุรกิจและเงินทองมากมายอยู่แล้ว จะต้องการหุ้นของอัครา(กรุ๊ป) ไปทำไม”

“แลกกับชีวิตของหยางเสี่ยวผิงไง หรือพวกเธอไม่คิดจะรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”

“ถ้ายกหุ้นให้คุณหมด อัคราบริรักษ์ก็จบสิ้นกันสิคะ ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ” ทิพวรรณไม่เสียเวลาคิดสักนิดเดียว เธอตอบอย่างฉะฉานและมั่นใจว่าไม่มีทางทำเช่นนั้นได้

“หึ หึ...ก็มันสมควรแล้วไม่ใช่เหรอ ชีวิตของหยางเสี่ยวผิงมีค่ามากกว่าหุ้นราคาไม่กี่ร้อยล้าน ต่อให้รวมทรัพย์สินทั้งหมดของอัคราบริรักษ์ก็ไม่มีค่ามากพอ ที่ฉันอยากได้ก็เพราะต้องการสั่งสอนให้พวกเลวทรามได้รู้บ้างว่าความทรมานมันเป็นอย่างไร”

“จะให้บอกสักกี่ครั้งว่าพวกเราไม่รู้เรื่องจริงๆ ตำรวจก็สืบสวนสอบสวนหมดแล้ว คุณจะยัดเยียดความผิดนั้นให้พวกเราได้ยังไง”

“ถ้าฉันปลุกไอ้เอกรัตน์นั่นขึ้นมาสารภาพทุกอย่างได้ ฉันทำไปนานแล้ว อย่าปฏิเสธฉันเลยดีกว่าทิพวรรณ เธอไม่มีทางเลือกหรอก”

ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเจรจาต่อรองด้วยท่าทีตึงเครียดกันอยู่ในรถคันงามที่แล่นไปตามถนนสายนั้น ก็มีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับมาขนาบข้างแล้วชักปืนออกมากระหน่ำใส่ร่างคนทั้งคู่อย่างอุกอาจ

“ระวัง!!!” หยางเฟ่ยหลงกดร่างบางลงต่ำ แต่ทั้งเขาและเธอก็ไม่พ้นวิถีกระสุน

“ปังๆๆ” เสียงปืนรัวก่อนมือปืนจะแน่ใจว่าทุกคนในรถคันงามสิ้นลมหายใจ แล้วรถที่พรุนไปด้วยลูกกระสุนก็ชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางซ้ำ มือปืนปริศนาแสยะยิ้มแล้วบิดมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ซิ่งหายไป

ไม่นานเสียงไซเรนรถตำรวจก็ดังเข้ามาใกล้ พร้อมกับไทยมุงที่แห่เข้ามาตีวงล้อม บอดี้การ์ดของหยางเฟ่ยหลงซึ่งถูกกันไม่ให้ตามมาเพิ่งจะแห่กันมาถึง พวกเขาต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เจ้านายใหญ่วางใจให้พวกเขาอยู่ห่างเพราะเชื่อว่าคนในตระกูลอัคราบริรักษ์ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขาได้ แต่เจ้านายใหญ่ของเขาคิดผิด ไม่ว่ามือปืนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม มันหาญกล้าที่จะปลิดชีวิตมาเฟียฮ่องกงคนดังในระยะเผาขน และที่สำคัญทิพวรรณก็กลายเป็นศพไปพร้อมกับหยางเฟ่ยหลง

มือปืนคนนั้นคือใคร? และมันต้องการอะไร?

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel