บทที่ 4 รักหน่อย
คนสองคนที่ต้องทนอยู่ด้วยกันโดยปราศจากความรักที่ดีต่อกันนั้น ฝืนกันไปก็รังแต่จะทำให้ปวดใจกันเปล่าๆ สู้ต่างคนต่างไป น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็ดีต่อเด็กคนนี้ ที่จะได้ไม่ต้องมาทนอยู่กับคนที่เขาไม่ได้รักตัวเองไปทั้งชีวิต
“แล้วน้องดาว…”
“ก็ให้เขาอยู่กับพ่อเขา ส่วนเธอถ้าคิดถึงจะมาหาบ้างฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ อย่างไรเสียเธอก็เป็นแม่แท้ๆ ที่คลอดเขาออกมา หรือเธอคิดว่ายังไง” คนที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่างในชีวิตอย่างเธอหรือจะกล้าคิดอะไรไปมากกว่านี้ หรือหากคิด และมีสิทธิ์ตัดสินใจได้จริง ก็ใช่ว่าทุกสิ่งมันจะเป็นไปอย่างที่วาดฝัน
เรื่องที่ว่าจะให้ลูกอยู่กับใคร ก็เหมือนจะชัดเจนอยู่แล้ว
แม้เธอจะรักแกมากแค่ไหน แต่การจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งในโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีพร้อมทุกสิ่งได้นั้น เงินคือปัจจัยสำคัญ
และนั่นต่างหาก คือความจริงที่โหดร้ายที่สุด!
เพราะทุกคนที่บทบาทสำคัญที่ต้องไปทำ ภาคจึงรับหน้าที่อุ้มหลานสาวตัวน้อยมานั่งเล่นที่ชิงช้าหน้าบ้านที่ย่าสั่งให้ตาเพียรคนสวนทำขึ้นหลังจากที่ดาวนับพันคลอดได้ไม่นาน ชายหนุ่มชอบช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกับหลานมากกว่าอะไรทั้งหมด แต่ก็เหมือนว่าวันนี้นั้น ยัยตัวน้อยจะมีเรื่องให้ต้องคิด
“อาภาคขา”เป็นเสียงน่ารักของหลานที่ทำให้ชายหนุ่มได้สติ เขาจำต้องหยุดทุกๆ เรื่องราวในหัวลงพร้อมกับขานรับ
“ครับ”
“หย่าแปลว่าอะไรคะ…”
“หนูดาว หนูไปได้ยินคำนี้มาจากไหนกันครับ!” แม้จะตกใจต่อคำถาม แต่ภาคก็ยังปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้อยู่ดี
“น้องดาวแอบได้ยินคุณพ่อพูดกับคุณแม่ค่ะ คุณพ่อบอกว่าถ้าหย่ากันแล้ว น้องดาวต้องอยู่กับคุณพ่อ แล้วคุณแม่ละคะ คุณแม่จะไปอยู่ที่ไหน” เพราะแบบนี้เองสินะ หลานสาวของเขาถึงได้แสดงท่าทีแบบนั้นกับบัวบูชา ที่แท้ก็คงเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายนั้น จะเข้ามาแย่งพ่อไปจากแม่ของตัวเองนี่เอง
ซึ่งไอ้เรื่องที่ว่านั่นมันก็กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ นั่นแหละ
“หนูไม่อยากให้พ่อกับแม่หย่ากัน ถูกต้องไหมครับ” เขาเฝ้ารออย่างใจเย็นจนหลานพยักหน้ารับเบาๆ ถึงได้กอดแกให้แน่นขึ้น สำหรับคนอื่นเขาไม่รู้ แต่สำหรับเขา เด็กคนนี้น่ารักเกินกว่าที่เขาจะยอมให้แกต้องมาเสียใจกับเรื่องบ้าๆ พวกนี้
“ถ้าอย่างนั้นมันก็พอมีวิธีอยู่บ้าง แต่หนูดาวต้องช่วยอานะครับ มันถึงจะสำเร็จ” ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ ว่าเขารักหลานมากกว่าอะไรทั้งหมดบนโลกใบนี้ และอะไรก็ตามที่มันทำให้เขาหลานรักตัวน้อยของเขามีความสุข เขายอมทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ต่อให้จะต้องทำให้ใครทุกข์ทรมานก็ช่างหัว!
ระหว่างทางกลับบ้านไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นระหว่างสิบทิศและภรรยา จะมีก็แต่เสียงกรนเบาๆ ของยัยหนูที่ผล็อยหลับไปได้สักพักแล้วเท่านั้น ที่ยังคงดังให้ได้ยินตลอดการเดินทาง กระทั่งถึงบ้านก็เป็นหน้าที่เขาที่ต้องอุ้มลูกมาส่งที่ห้อง ก่อนจะคว้าต้นแขนของอีกคนให้ออกมาคุยกันที่ระเบียง
“คุณย่าเรียกเธอเข้าไปคุยเรื่องอะไร” หากไม่ติดว่าเขากำลังคุยอยู่กับบัวบูชาอยู่ถึงการทำงานที่เธอจำเป็นต้องสานต่อจากพนักงานคนเก่าที่ขอลาออกกระทันหันเพราะต้องย้ายตามสามีไปอยู่ต่างประเทศแล้วล่ะก็ เขาคงเข้าไปกับเธอด้วย
“คุณท่าน… อยากทราบรายชื่อโรงเรียนของหนูดาวค่ะ”
“แค่นั้น”
“ค่ะ” แม้จะรู้ว่าตัวเองโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย แต่เพราะรับปากย่าของเขามาแล้วว่าจะปิดบังเรื่องนี้ไปก่อน เธอจึงจำเป็นต้องโกหก ในส่วนเรื่องโรงเรียนลูกนั้นก็พูดคุยกันจริงๆ และท่านเองก็เห็นด้วยกับโรงเรียนที่เธอและเขาหาเอาไว้ให้ลูก เพราะไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดหรือสังคม ย่อมเหมาะสมในทุกด้าน
“ถ้างั้นก็แล้วไป”
“ถ้าคุณเทียนไม่มีอะไรแล้ว มิขอตัวนะคะ” สิบทิศไม่ได้ว่าอะไรนอกจากจ้องมองแม่ของลูกที่ค่อยๆ เดินหายไปจากสายตาเรื่อยๆ กระทั่งเมื่อมีโอกาสอยู่กับตัวเองตามลำพัง เขาถึงหันหน้ากลับมามองไร่ของตัวเองอีกครั้งอย่างคนใช้ความคิด ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวที่อยู่ในหัวจะเป็นเรื่องของใครไปไม่ได้เลยนอกจากเรื่องของผู้หญิงบ้าที่เพิ่งจะเดินจากกันไป
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำยังไงกับมิรันตี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่มีต่อแม่ของลูกนั้น แท้ที่จริงแล้วมันเป็นแบบไหนกันแน่ แต่ที่รู้แน่ชัดคือเขาจะไม่มีวันยอมให้ลูกต้องเสียใจ ไม่ว่าสุดท้าย เขากับหล่อนจะตัดสินใจยังไงต่อกับชีวิตคู่ของเรา
วันแรกของการไปโรงเรียนในช่วงชั้นเตรียมอนุบาลของหนูน้อยดาวนับพันนั้นเป็นไปอย่างโศกเศร้า เริ่มต้นจากยายสาแม่ครัวอันดับหนึ่งของบ้านที่ร้องไห้ทันทีที่เห็นลูกสาวของเธอเบ้ปาก ตอนที่ถูกผู้เป็นพ่ออุ้มขึ้นรถ ไม่เว้นแม้แต่ลุงมั่นคนขับรถของบ้านเองก็เหมือนจะตาแดงๆไปกับเขาด้วยอีกคน
ในส่วนของเธอกับสิบทิศนั้นไม่ได้ร้องไห้ มันเป็นความรู้สึกเป็นห่วงมากกว่า ที่กำลังว่ายวนอยู่ในหัวใจตอนนี้
ห่วงว่าลูกจะปรับตัวกับสถานที่ใหม่เพื่อนใหม่ได้แค่ไหน
“อาภาค อาภูมิ คุณย่าทวด!” การได้เห็นคนสามคนหลังจากเดินลงจากรถนั้นทำให้ใบหน้าของเด็กน้อยมีรอยยิ้มขึ้นทันที และไม่ต้องให้ใครเรียก เท้าน้อยๆ ก็วิ่งตรงเข้าไปหาคนทั้งสอง ก่อนจะโผกอดอาคนโปรดเป็นคนแรกเหมือนทุกที
“มากันได้ยังไงครับ” เป็นสิบทิศที่เอ่ยถามขึ้นเมื่อเดินตามเข้ามาสมทบพร้อมแม่ของลูก
“หนูดาวมาเรียนวันแรก พวกเราจะพลาดได้ยังไง โดยเฉพาะคนนู้นน่ะ ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่หกโมง สงสัยจะกลัวมาส่งเหลนเข้าห้องเรียนไม่ทัน” เป็นภูมิที่เอ่ยตอบ ก่อนจะหันไปมองผู้เป็นย่าที่ตอนนี้กำลังทั้งกอดและหอมเหลนตัวน้อยเพื่อปลอบขวัญ ซึ่งภาพนั้นพวกเขาได้เห็นจนชินตา
“ไม่ร้องนะลูกนะคนดีของทวด มันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอตาเทียนหนูดาวอายุก็เท่านี้ จะให้รีบเข้าเรียนอะไรกัน”
“ช้าเร็วก็ต้องเข้าอยู่ดี ผมอยากให้ลูกมีความพร้อมทุกด้านครับย่า” แม้จะเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น แต่ถึงอย่างไรท่านก็ไม่ปรารถนา ที่จะได้เห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของเหลนตัวน้อยอยู่ดี
เพราะมีเวลาจำกัด ทุกคนจึงใช้เวลาพูดคุยกับนักเรียนตัวน้อยไม่เพียงคนละไม่กี่นาทีเท่านั้น ก่อนจะถึงคราวของคนเป็นแม่ ที่แม้จะไม่ได้ร้องไห้เหมือนคนอื่นๆ แต่แววตาของเธอในตอนนี้นั้น มันกลับเต็มไปด้วยความกังวลอย่างถึงที่สุด
“หนูดาวขา จำที่แม่สอนได้ไหมคะ”
“จำได้ค่ะ หนูดาวเป็นคนเก่ง ที่โรงเรียนหนูดาวจะมีเพื่อนเยอะแยะ มีคุณครูใจดีสอนให้ระบายสี รอเข็มสั้นชี้ไปที่เลขสอง คุณพ่อกับคุณแม่จะมารับ ฮึก…” หญิงสาวยิ้มรับในความฉลาดจำจำของลูก ก่อนจะคว้าแม่ตัวน้อยเข้ามากอด
“เก่งมากค่ะ ทีนี้ไปลาคุณพ่อนะคะ จะได้เข้าห้องเรียน”
