Ep.3 ไม่คาดฝัน(3)
เขาชอบที่จะร้องเพลงเพราะๆพร้อมกับดีดกีต้าร์ให้ฉันฟัง เวลาว่างที่เขาว่างเสมอๆ
และเขาก็มักจะมานั่งติววิชาเรียนให้กับฉันช่วงพักเที่ยงที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ข้างอาคารเรียน
เขาเป็นผู้ชายหน้าดีมาก ดูหล่อเหลามีเสน่ห์ สาวๆคนไหนเห็นก็กรี๊ด ทว่าเขาก็ขี้อายพอๆกับฉัน แต่เขาก็มีความกล้ามากกว่าฉัน เพราะเขาเป็นรุ่นพี่ฉันหนึ่งปี
เขาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก ส่วนฉันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า
เขามักจะใช้เวลาพักเที่ยงหลังกินข้าวมานั่งคุยกับฉันที่เดิมแทบจะทุกวัน แล้วบางวันก็มานั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกัน และในวันพิเศษ เขาก็ไม่เคยพลาด ที่จะมอบของขวัญที่พิเศษให้กับฉัน ซึ่งฉัรดีใจมากและไม่เคยลืมเลย
แม้ว่าของขวัญหลายชิ้นนั้น ฉันจะไม่ได้เก็บรักษาเอาไว้ ในวันที่รู้ว่าเขาแต่งงานแล้ว ทว่าภาพความใกล้ชิดและภาพความทรงจำดีๆทุกอย่าง กลับฝังลึกอยู่ในหัวใจของฉันเรื่อยมา ไม่เคยลืมเลือน นึกถึงไรก็ยิ้มได้เสมอ
ฉันยังจำได้ที่เขาเคยบอกฉันว่า
“พินครับ ถ้าพินเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ พี่ขอเรียกพินว่าแฟนอย่างเป็นทางการนะ และพี่จะพาพินไปหาพ่อกับแม่ของพี่ด้วย เราจะแต่งงานกันเมื่อพินเรียนจบนะ”
ฉันตอบตกลง
“ค่ะ ถ้าพินสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ พินจะคบกับพี่เขตเป็นแฟนนะ”
เวลาผ่านไปราวๆหนึ่งปี ฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ สมดังที่ตั้งใจเอาไว้ แต่ฉันกลับได้ยินข่าวร้าย ว่า
‘เขาคนนั้นมีแฟนใหม่แล้ว และผู้หญิงของเขาเรียนอยู่ที่วิทยาลัยเดียวกัน’
ฉันก็รู้สึกเสียใจอยู่หลายวัน สุดท้ายเมื่อฉันเข้ามาเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย ฉันจึงบอกกับคนที่รู้จักเขาว่า
“หากเขามาตามหาฉัน ให้บอกว่าฉันมีแฟนใหม่แล้ว ฉันขอเลิกคบกับเขา แล้วเขาไม่ต้องมาพบฉันอีก”
แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผ่านไปราวๆหนึ่งปี ฉันก็พบกับเขาอีกครั้ง แต่ว่าตอนนั้นฉันคบกับผู้ชายอีกคนที่เขารู้จักดี แล้วฉันก็วิ่งไปหลบหน้าเขา ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา
แต่ฉันมองเขาแค่แวบเดียว ฉันก็รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปมาก เขาดูซูบผอมลงมากๆ จนดูผิดหูผิดตา คล้ายกับคนที่ตรอมใจอย่างไรอย่างนั้น ฉันจึงสึกผิดในใจตลอดมา
‘ฉันเป็นต้นเหตุให้เขาซูบลงขนาดนี้เลยเหรอ’
แล้วฉันก็ทนนิ่งเฉยไม่ได้ ฉันจึงโทรศัพท์ไปหาเขา แล้วเขาก็ขอนัดคุยกับฉันเป็นการส่วนตัว
เขาถามฉันว่าเขาทำผิดอะไร ทำไมฉันถึงทิ้งเขาไปคบกับคนอื่น แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นเพื่อนสนิทของเขาอีก
เขาทำผิดตรงไหนเหรอ ฉันเองก็ตอบเขาไม่ได้ ฉันเลยไม่ได้ออกไปพบเขา เพราะฉันขี้ขลาดตาขาว ฉันกลัวความผิดของตนเอง กลัวมากๆ
แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมาจนถึงเมื่อวานนี้ ก็กินเวลาเกือบยี่สิบปีที่ไม่ได้เจอกัน แต่ฉันก็รู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ในโลกออนไลน์ เขามีเฟสบุ๊ค
แค่เข้าไปในอินบ็อก ฉันก็สามารถคุยกับเขาได้แล้ว แต่ฉันก็ไม่ทำ ฉันไม่กล้าพอ เพราะภาพที่เขาลงหน้าเฟส ก็คือภาพครอบครัวเล็กๆที่ดูมีความสุขมากของเขา อยู่เต็มหน้าไทม์ไลฟ์ที่เขาอัพรูปลงเป็นรูปส่วนตัว
มันสายเกินไปแล้ว ที่จะเอ่ยคำพูดใดๆออกไปอีก แต่ว่าทำไม ฉันยังรู้สึกติดค้าง และคิดถึงเขาอยู่อีกก็ไม่รู้
แล้ววันนี้ ทั้งที่เจอเขาแล้ว ฉันกลับพูดอะไรไม่ออก นอกจากเรียกชื่อเขาแค่ครั้งเดียวด้วยความตกใจ ฉันไม่กล้าสบตาเขานานเลยจริงๆ มันรู้สึกหวิวๆในอก และกลัวอะไรก็ไม่รู้
ก็ตอนนี้ฉันอายุสามสิบต้นๆแล้ว ฉันไม่ใช่สาวๆที่สวยสดงดงามเหมือนเมื่อแรกรุ่น ทว่าเขากลับยังคงความหล่อเหลาเค้าโครงเดิมเกือบทุกอย่าง ไม่เปลี่ยนแปลงเลย แต่ดูฉันสิ...ขี้โรคแบบนี้ ใครอยากจะอยู่ใกล้
และอีกไม่กี่วัน ฉันก็จะไปจากหอพักแห่งนี้แล้ว รอให้รถอีแก่ของฉันซ่อมเสร็จ ฉันจะออกเดินทางไปเที่ยว
ไปในที่ที่ฉันอยากจะไป ขับรถไปเรื่อยๆ ค่ำไหนก็นอนนั่น
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันนึกอยากจะเที่ยวคนเดียวเพียงลำพังดูบ้าง อยากออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตนเอง แบบอิสรเสรี ไปเที่ยวให้สบายใจแล้วค่อยกลับมาทำงาน
