บทนำ
เสียงรถเครื่องท่อดังอุปกรณ์แต่งครบครัน ล้อแม็กสีทองขับเลี้ยวเข้ามาภายในโรงสีข้าวขนาดใหญ่ก่อนจอดเทียบข้างรถกระบะสี่ประตูสีขาวยกสูง ชายหนุ่มสวมใส่ชุดนักเรียนมอปลาย ก้าวขาลงมายืนอยู่ข้างรถก่อนที่จะเดินตรงไปยังออฟฟิศที่อยู่ห่างไม่ไกลมากนัก
“ป๊าผมขอลูกกุญแจรถหน่อยสิ” เมื่อเปิดประตูเข้ามาด้านในเสียงเรียกของบุตรชายคนเดียวของบ้านก็ดังขึ้นในทันที
“มันก็วางอยู่ที่เดิมมองไม่เห็นหรือไง” คนเป็นพ่อตะโกนออกมาจากโต๊ะทำงาน ก่อนวางมือที่จับปากกาแล้วเดินตรงมาหาบุตรชาย “จะเข้าเมืองอีกแล้วเหรอ”
“ใช่ป๊า ลืมรึไงว่าวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมก็ต้องไปทำหน้าที่ของผมสิครับ” เขาหันหน้ามายิ้มก่อนคว้าเอากุญแจรถยนต์มาถือเอาไว้ในมือ
“ก็เข้าใจนะว่าชอบ ทำแบบนี้แล้วเมื่อไหร่มึงจะสมหวังสักทีวะ”
“ต้นรักมันก็ต้องค่อย ๆ ปลูกไงป๊า เชื่อมือผมเถอะยังไงคนนี้ก็ลูกสะใภ้ป๊าแน่ ๆ” เขาตอบอย่างมั่นใจ
“กูไม่เคยเห็นใครมั่นเบ้าหน้าเหมือนมึงเลย ระวังเถอะอกหักมาจะหาว่าไม่เตือน” คนเป็นพ่อได้แต่ถอนหายใจให้กับคำพูดของบุตรชาย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่เคยห้ามปรามบุตรชายเลยสักครั้ง เพราะรู้ว่าบุตรชายจริงจังกับความรักครั้งนี้มากเพียงใด คนที่บุตรชายรักไม่ใช่ใครอื่นเป็นหญิงสาวข้างบ้านที่เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโตตอนนี้เธอกลายเป็นหญิงสาวสวยที่มีชายหนุ่มหลายคนหมายปอง
“ป๊าพูดอะไรก็ไม่รู้เป็นลางไม่ดีผมไม่มีทางอกหักหรอก คนอย่างผมต้องสมหวังเรื่องความรักอย่างแน่นอน”
“สมพรปากนะลูกชาย” คนเป็นพ่อก็พูดอะไรไม่ได้มาก ทำเพียงอวยพรไปเท่านั้น
คินต์คือบุตรชายคนเดียว ครอบครัวทำกิจการโรงสีข้าวขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัด เขามีใบหน้าคมคลายหล่อเหลามักเป็นที่สนใจของหญิงสาวที่ได้พบเห็น แต่ใครจะรู้ว่าเขาสนใจเพียงแค่พี่สาวข้างบ้านที่หลงรักมาตั้งแต่เด็ก
นิสัยของคินต์เข้ากับคนได้ง่าย มีเพื่อนมากและเป็นที่รักของคุณครูในโรงเรียน เป็นเด็กกิจกรรมคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะมีกิจกรรมใดก็จะมีส่วนร่วมอยู่เสมอ ทั้งยังได้รับเลือกให้เป็นรองประธานของโรงเรียนประจำจังหวัด
เขาก็แค่เด็กหนุ่มทั่วไปใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานการเรียนดีกีฬาเด่น พ่อกับแม่ไม่ได้เลี้ยงเขาให้อยู่ในกรอบ ทุกอย่างล้วนได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวอยู่เสมอไม่ว่าจะทำเรื่องใด ถือว่าเขาเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นและมีฐานะ
วันนี้คินต์ขับรถยนต์สีดำที่เขาเป็นเจ้าของ แม่ซื้อให้ในงานวันเกิดของปีนี้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาโตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะรับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้แล้ว และรถยนต์คันนี้แม่กับพ่อตั้งใจซื้อให้เขาเพื่อขับไปเรียนที่มหาลัยที่จะเข้าศึกษาต่อในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เส้นทางที่คินต์ไปนั้นเป็นถนนใหญ่ที่มุ่งตรงไปยังต่างจังหวัดที่อยู่ใกล้ ๆ ใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง รถยนต์เลี้ยวเข้ามาในมหาลัยแห่งหนึ่ง ก่อนจอดนิ่งที่หน้าคณะบริหารธุรกิจ
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อส่งข้อความหาหญิงสาวที่กำลังเรียนอยู่ในตึก เป็นข้อความสั้น ๆ ที่บอกว่าเขากำลังรอเธออยู่ที่เดิม เหมือนเช่นเดิมทุกครั้ง
“เลิกเรียนสักที ง่วงนอนจะตายอยู่แล้ว” ญาดาเอ่ยพร้อมบิดตัวไปมาคลายความเมื่อยล้าในการนั่งเรียนมาตลอดบ่ายจนถึงสี่โมงเย็น
“ฉันต้องรีบไปก่อนนะ” อริณเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับไม่อยากให้คนที่มารอรับ นั่งรอนานจนเกินไป
“แหม! มีแฟนแล้วทิ้งเพื่อนเลยนะ”
“เปล่าสักหน่อย” เธอยิ้มเขิน เมื่อเพื่อนในกลุ่มเอ่ยแซว “ฉันไปก่อนนะ แล้วจะโทรหานะ” เธอรีบเดินออกมาจากห้อง ไม่ยืนรอลิฟต์อย่างเช่นทุกครั้ง กลับเดินลงบันไดจากชั้นสี่ด้วยความเร่งรีบ
อริณเดินยิ้มออกมาจากในตึก ก่อนเดินตรงไปยังรถยนต์ที่มีชายหนุ่มยืนพิงรถอยู่ เธอยิ้มหวานก่อนจะใช้มือเขี่ยผมที่ตกลงมาขึ้นทัดใบหูอย่างเขินอายก่อนเท้าจะหยุดนิ่งตรงหน้าของเขา
“พี่มารอนานหรือยังคะ” เธอไม่กล้ามองสบตาของเขา
“พึ่งมาสิบนาทีเอง เห็นบอกว่าจะกลับบ้าน พี่อยากเห็นหน้าริณก่อนกลับก็เลยมารอก่อน” เขายื่นมือมาตรงหน้าเพื่อจับมือของเธออย่างนุ่มนวล “ไม่เห็นมองหน้าพี่เลย ไม่คิดถึงกันเหรอครับ”
“คะ...คิดถึงสิคะ” เธอยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขา ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่ก่อนแล้ว
“น้องมาหรือยัง”
“มาแล้วค่ะ รถจอดอยู่ตรงนั้น” เธอชี้นิ้วไปยังรถยนต์สีดำคันหรู ชายหนุ่มตรงหน้าเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อมองเห็นรถยนต์ยี่ห้อดังราคาแพง
“ริณจะไม่แนะนำน้องชายให้พี่รู้จักหน่อยเหรอครับ” เขายิ้มแล้วหันมาสบตากับเธอ
“ได้สิคะ” เธอพาเขาเดินตรงมาที่รถยนต์ของคินต์ ก่อนจะเคาะประตูให้อีกฝ่ายเดินลงมาจากรถ
“......” คินต์ที่อยู่ในชุดนักเรียนเดินลงมาจากรถ สายตาของเขามองตรงไปยังผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างอริณ สองคิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยปนความไม่พอใจ
“คินต์นี่พี่สอง เป็นแฟนของพี่เอง” เธอแนะนำให้กับคินต์ได้รู้จักกับแฟนที่พึ่งคบกันมาได้สามวัน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ต่างจากชายหนุ่มตรงหน้าที่มีสีหน้าต่างออกไป
“แฟนเหรอ? พ่อรู้หรือยังว่าพี่มีแฟน” เขาถามกลับแล้วจ้องหน้าชายหนุ่มที่ชื่อสองด้วยความไม่ชอบขี้หน้า
“ยะ...ยังไม่ได้บอกพ่อเลย พี่ว่าจะบอกพ่อเร็ว ๆ นี้แหละ” เธอหุบยิ้มลงทันที “คินต์เป็นน้องชายข้างบ้าน เราสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ริณรักคินต์เหมือนน้องชายแท้ ๆ ค่ะ” เธอหันหน้ามาคุยกับแฟนหนุ่ม
“อ้อ ครับ ริณเห็นเขาเป็นน้องชายแท้ ๆ นี่เอง” สองพยักหน้ารับรู้ถึงเส้นแบ่งที่อริณมอบให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ต่อไปนี้ไม่ต้องมารับริณแล้วก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปรับไปส่งริณเองไม่อยากรบกวน”
“แล้วไง?” คินต์เอ่ยเสียงแข็ง
“คินต์ พูดกับพี่เขาดี ๆ หน่อย เขาก็เหมือนพี่ชายคินต์นะ” อริณเอ่ยเตือนน้องชายข้างบ้าน “ริณต้องกลับบ้านแล้วค่ะ เดี๋ยวถึงบ้านค่ำพ่อจะเป็นห่วง ถึงบ้านแล้วริณจะโทรหานะคะ”
“หรือจะให้พี่ไปส่งดี” เขาทำสีหน้าเสียดายที่ได้ใช้เวลาอยู่กับแฟนสาวน้อยเกินไป
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ มีคินต์มารับแล้ว” เธอส่ายหน้าไปมาไม่อยากให้เขาไปถึงที่บ้าน เพราะยังไม่ได้บอกกล่าวครอบครัวเรื่องที่เธอมีแฟนแล้ว
“ก็ได้ อย่าลืมโทรหาพี่นะ ถึงแล้วต้องรีบโทรมาทันทีเลยเข้าใจไหม” เขากุมมือของเธอขึ้นมาจูบอย่างหวงแหน
“อายน้องบ้าง ไปแล้วนะคะ” เธอรีบดึงมือกลับแล้วเดินขึ้นมานั่งประจำที่ข้างคนขับ ต่างจากคินต์ที่เอาแต่ยืนจ้องหน้าของเขาอยู่ไม่วางตา
“มีอะไรน้องชายแฟน” เขาเน้นเสียงก่อนยกยิ้มมุมปาก
“หึ...ยังไม่พาเข้าบ้านไม่ถือว่าเป็นแฟนหรอก อย่ามามโน” เด็กหนุ่มยกยิ้มมุมปากบ้าง
“คงไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นแค่น้องชายสินะ...” สองดันลิ้นเข้ากระพุ้งแก้ม “ผู้หญิงเขาขีดเส้นขนาดนี้แล้ว ก็ควรรู้สถานะตัวเองไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง” เขาที่กำลังหันหลังกลับรีบหันกลับมามองหน้าของอีกฝ่ายทันที
“เกี่ยวสิ! เรื่องของริณก็เหมือนเรื่องของกูนั่นแหละ อย่าข้ามเส้น! กูขอเตือนมึงเอาไว้ก่อน คนที่งัดข้อกับกูศพไม่สวยเลยนะ...บอกเอาไว้ก่อน” สองเดินเข้าใกล้ก่อนตบมือลงไปที่บ่า แล้วเดินตรงกลับไปที่รถยนต์ของตัวเอง
คินต์เดินขึ้นมานั่งประจำที่คนขับไม่พูดไม่จาคำใด พอเครื่องรถยนต์ติดก็เร่งเครื่องขับออกไปทันที อริณที่นั่งอยู่ด้านข้างได้แต่หันมองใบหน้าเสี้ยวเดียวของเขาด้วยการตั้งคำถามอยู่ในใจ
