บทที่ 1
บทที่ 1
ความวุ่นวายในงานรับปริญญาในตอนเที่ยงยังไม่จบสิ้น เสียงหัวเราะของนิสิตมากมายที่ต่างพากันดีใจเมื่อตัวเองสำเร็จการศึกษา ดอกไม้ช่อโตที่ทุกคนต่างถือมาเพื่อแสดงความยินดีให้กับคนในครอบครัว สายตาคู่ของพาขวัญมองไปยังคนรอบตัวที่ถ่ายรูปกับครอบครัว มีเพียงแต่เธอที่ไม่มีครอบครัวมาด้วยได้ เพราะแม่ของเธอนั้นเสียชีวิตลงเมื่อหลายปีก่อน
“หนูจีน” พาขวัญหันไปตามต้นเสียงเมื่อจำเสียงได้ว่าเสียงนี้คือใคร
“คุณลุง!” เธออุทานด้วยความตกใจ
“ลุงมาแสดงความยินดีที่หนูเรียนจบ ยินดีด้วยนะ คนเก่ง” หม่อมหลวงณรงค์ฤทธิ์พูดพร้อมกับยื่นดอกไม้ช่อใหญ่ให้
“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณพร้อมกับเอื้อมมือไปรับ
“ลุงให้คนเตรียมห้องที่บ้านหนูให้แล้วละ”
“แต่หนูว่า...ไม่ดีกว่าค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ
“แต่ลุงอยากให้หนูเข้ามาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกันนะ”
“เอ่อ...แต่ว่าคุณลุง...” สายตามองด้วยความลังเลและเกรงใจ
“อย่าปฏิเสธเลยนะ” พูดแบบนี้ ปฏิเสธหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ หญิงสาวพยักหน้าอย่างยอมรับก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นถามหม่อมหลวงณรงค์ฤทธิ์
“แล้วลูกชายของคุณลุงจะไม่คัดค้านเหรอคะ ดูเหมือนว่าจะไม่ชอบหนูเท่าไหร่เลย”
เธอยังจำสายตาของเขาที่มองในวันงานศพของภรรยาหม่อมหลวง- ณรงค์ฤทธิ์ได้ดี สายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความแค้น เธอไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจตอนไหนกันแน่
“อย่าไปสนใจเลย เจ้าเพลิงก็เป็นแบบนี้นั่นแหละ อีกอย่างนี่ไม่กลับมาที่บ้านตั้งหลายวันแล้ว”
“แต่หนูก็เกรงใจอยู่ดีค่ะ” หญิงสาวเริ่มตอบปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง
“เอาเถอะ จะได้ไปทำงานง่ายๆ ไง อีกอย่างคนแก่คนเฒ่าอยู่บ้านคนเดียวเหงาจะตาย ลุงก็เห็นหนูเหมือนลูกสาวมาตลอด”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องแต่หรอก ลุงแค่อยากช่วยหนูน่ะ แล้วนี่จะย้ายของออกจากหอวันไหนล่ะ ลุงจะได้ให้คนขับรถมารับ”
“ว่าจะวันพรุ่งนี้ค่ะ เอ่อ...แต่หนูก็ยัง...”
“เลิกพูดเกรงใจลุงได้แล้ว เอาเป็นว่าลุงเห็นหนูเป็นเหมือนลูกของลุงอีกคนละกันนะ อย่าคิดมากอีกล่ะ” มือเหี่ยวย่นของหม่อมหลวงณรงค์ฤทธิ์เอื้อมขึ้นไปลูบเส้นผมบางของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเอ็นดู
พาขวัญยกมือขึ้นพร้อมกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณค่ะ”
“ได้เวลาลุงต้องไปทำงานต่อแล้ว พรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ ลุงจะให้คนไปรับหนูที่หอนะ” หม่อมหลวงณรงค์ฤทธิ์พูดขึ้นก่อนจะยิ้มให้อีกครั้งหนึ่ง
“ค่ะ” พาขวัญขานรับพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ สายตาของเธอมองชายวัยกลางคนที่หมุนตัวเดินหางไกลออกไปด้วยความรักและเคารพ หญิงสาวยังคงยิ้มให้แม้กระทั่งหม่อมหลวงณรงค์ฤทธิ์จากไปนานแล้วก็ตาม ในใจของเธอนับถือเสมือนเป็นบิดาคนที่สองที่ดูแลเธอมาตลอด
แสงอาทิตย์สีส้มสาดส่องเข้าห้องทางหน้าต่างทิศตะวันตก สายตาคมทอดมองมายังเบื้องล่างจากตึกสูงตระการฟ้าในใจกลางเมือง เสียงถอนหายใจดังขึ้นหลายสิบครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องงาน อีกส่วนคงเป็นเรื่องครอบครัวของเขา นี่เขาก็ไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว ใจจริงแทบไม่อยากจะกลับไปด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่เขากลับไปมีเพียงแต่ความเจ็บปวดที่เขาไม่อาจที่จะลืมได้
จิรัฎฐ์หมุนตัวเดินกลับเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงานดั่งเดิม สายตากวาดมองรอบๆ ห้องทำงานที่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงอย่างสมฐานะกับการเป็นรองประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนที่มีการงานและอนาคตมั่นคง
นิ้วแกร่งเคาะจังหวะไปตามโต๊ะจนเกิดเสียง สายตาของชายหนุ่มชำเลืองมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่มุมโต๊ะ ซึ่งบอกเวลาว่าเกือบเย็นมาก จิรัฎฐ์กลอกตาด้วยความชั่งใจว่าเขาควรจะกลับบ้านดีหรือไม่กลับดี เขาไม่อยากกลับไปแล้วมีปากเสียงกับบิดาจนทะเลาะกันอีก
ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นเก็บแฟ้มทำงานวางไว้มุมหนึ่งของโต๊ะก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้อง ใบหน้าคมคายเรียบนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา พนักงานที่ต่างชื่นชอบมองเขาได้แต่คุยกันอยู่ห่างไม่กล้าที่จะเข้ามาสนิทใกล้ชิดเจ้านายหนุ่มแม้แต่น้อย
จิรัฎฐ์เดินมายังลานจอดรถของเขาพร้อมกับเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง เขาสตาร์ทรถแล้วขับออกไปด้วยความรู้สึกมากมายที่แทรกเข้ามาจนรู้สึกอึดอัด
รถยนต์คันหรูราคาแพงเฉียดสิบล้านแล่นไปตามท้องถนนที่ว่าง มือแกร่งเอื้อมไปกดปุ่มวิทยุเพื่อเปิดเพลงฟังระบายความเครียดของตัวเองให้ลดลง นานกว่าที่ขับรถไปและตัดสินใจว่าจะกลับไปที่บ้าน
จิรัฎฐ์หยุดจอดอยู่หน้าประตูใหญ่หน้าคฤหาสน์สีขาวสไตล์ยุโรปหลังใหญ่เพื่อรอให้ประตูเปิดออก ก่อนจะขับเข้าไปอย่างช้าๆ ใต้ชายคาบ้าน เขาเปิดประตูลงจากรถกับจังหวะที่มีชายวัยกลางคนเดินเข้ามาหาในท่าทางที่นอบน้อม ชายหนุ่มยื่นกุญแจให้ก่อนที่จะเดินเข้าไปข้างในบ้าน
สายตาคมกวาดมองคนในบ้านที่ต่างกันเตรียมของยกตู้กันดูวุ่นวาย จนอดที่จะเดินเข้าไปถามไม่ได้
“จะยกของพวกนี้ไปไหนกัน แล้วนี่อะไรเยอะแยะไปหมด”
น้ำเสียงเข้มเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นเฟอร์นิเจอร์หรูราคาแพงไว้สำหรับตกแต่งห้องนอนวางเรียงรายอยู่ที่พื้นหน้าบันได
“คุณผู้ชายสั่งครับ ว่าให้ยกขึ้นไปจัดห้องใหม่อีกห้องหนึ่งขึ้นมาครับ”
จิรัฎฐ์คิ้วขมวดด้วยความสงสัยอย่างไม่เข้าใจว่าบิดาเขาจะสั่งให้จัดห้องเพิ่มขึ้นมาทำไม?
“จัดทำไม แค่นี้ก็เยอะอยู่แล้ว”
“เห็นว่าวันพรุ่งนี้คุณผู้ชายว่าจะมีคนเข้ามาพักอยู่ด้วยน่ะครับ เลยให้ผมจัดยกให้เสร็จก่อนพรุ่งนี้เย็น”
“ใครจะย้ายเข้ามา”
เขาถามพร้อมจ้องด้วยสายตาเค้นคำตอบจากคนตรงหน้า
“ผมไม่รู้เหมือนกันครับ คุณผู้ชายไม่ได้บอกไว้ครับ”
“ขอบใจมาก” จิรัฎฐ์พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องทำงานเพื่อหาบิดาถามให้รู้เรื่องไปทีเดียว สองเท้าก้าวยาวตรงไปก่อนเลี้ยวซ้ายเพื่อไปห้องทำงานส่วนตัวของบิดา
ประตูใหญ่สีน้ำตาลลายไม้เถาวัลย์ไทยขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า จิรัฎฐ์เอื้อมมือไปผลักออกก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในห้อง สายตามองบิดาที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานที่กำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ เข้าก้าวเข้าไปหาพร้อมนั่งลงที่โซฟา
“นึกว่าจะไม่กลับมาซะแล้ว” ผู้เป็นบิดาพูดขึ้นในขณะที่ปิดหนังสือ และละสายตาขึ้นมามองบุตรชาย “แล้วนี่มีอะไร ถึงมาหาล่ะ”
“เห็นชาติบอกว่าคุณพ่อให้จัดห้อง จะมีคนย้ายเข้ามา ใครหรือครับ” จิรัฎฐ์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“พาขวัญ” หม่อมหลวงณรงค์ฤทธิ์ตอบโดยที่รู้ว่าลูกชายของเขาต้องเกิดโทสะอย่างแน่นอน
“หมายความว่ายังไงครับ!?”
“พ่อจะให้พาขวัญย้ายมาอยู่ที่บ้านของเรา พ่อสงสารเขาน่ะ”
“พ่อสงสาร แต่ผมไม่!”
จิรัฎฐ์ตอบด้วยน้ำเสียงเข้ม นัยน์ตาคมมองบิดาด้วยความไม่พอใจ
“นั่นมันเรื่องของแก แต่ฉันได้บอกให้พาขวัญมาอยู่ที่นี่และช่วยทำงานที่บริษัทแล้ว แกไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธฉัน!”
“ฮึ! ที่แท้พ่อทำดีกับผู้หญิงคนนี้เพราะวังจะเอาเป็นเมียแต่แรกอยู่แล้ว...อย่างน้อยพ่อก็ควรคิดถึงคุณแม่ที่เสียไปบ้าง!”
เรื่องนี้พล็อตน้ำเน่า ดราม่าหน่อย ๆ นะคะ รับรองว่าตัวละครน่าปาไข่ใส่จ้า 55555
