ตอนที่ 13
นุ้ยรับคำในขณะที่พาริภัคและสัญจิตาต่างพากันหนักอกหนักใจและกลัดกลุ้ม แต่ในส่วนลึกขณะนี้พาริภัคไม่ชอบหน้าของหนึ่งธิดาเอามาก ๆ เพราะคนที่เธอคิดว่าจะได้มาเป็นพี่สะใภ้คือภัสรดา ผู้หญิงที่แสนดีและเพียบพร้อมคนนั้น และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สายตาที่หนึ่งธิดามองมาหาดนุสรณ์มันมีความนัยแอบแฝงและดูดนุสรณ์เองก็เอาอกเอาใจเธอ สนิทสนมกับเธออย่างมาก
หลังจากที่ได้พบดนุสรณ์ดูเหมือนอาการร้อนรนและอยากไปจากที่นี่ของหนึ่งธิดาจะจางหายไป แต่ความกลัดกลุ้มและไม่พอใจของเธอก็ยังคงอยู่เมื่อเธอถูกจับให้สวมชุดที่กันต์ธัสส่งให้นุ้ยมา
“ชุดบ้าบออะไรฉันไม่ใส่ และไม่ยอมแต่งงานกับนายบ้านั่นด้วย”
หนึ่งธิดาเริ่มออกฤทธิ์อีกครั้ง
“คุณต้องใส่นะคะไม่งั้นนายหัวจะมาใส่ให้เอง”
“ให้เขามาเลย กล้าหรือเปล่า แน่ใจจริงหรือเปล่าที่จะใส่ชุดนี้ให้ฉัน ชุดบ้าอะไร นี่หรือชุดเจ้าสาว”
หนึ่งธิดามองดูชุดพื้นเมืองของทางใต้ เป็นเสื้อฉลุลายดอกไม้ รอบคอ เอว และปลายแขน กับผ้าซิ่นปาเต๊ะสีสด
“บ้านนอก”
เธอโยนเสื้อผ้าชุดนั้นลงไปกองแทบพื้นไม้ขัดมันวาว
“เจ้าบ่าวของฉันจะต้องเป็นคุณสรเท่านั้น ถ้าเป็นคุณสร ฉันจะใส่ชุดนี้”
“เสียใจด้วยนะสาวน้อย”
เสียงทุ้มดังกระด้างห้าวแทรกขัดขึ้น ก่อนประตูห้องจะเปิดกว้าง กันต์ธัสยืนอยู่ เขามองตรงมาหาเธอ แล้วตวัดสายตาเป็นเชิงบอกให้นุ้ยออกไปรอด้านนอก
“ถ้าเธอปรารถนาจะเป็นเมียของนายสร ก็ไม่ควรคบหากับไอ้พังก์นั่น ถ้าเธอทำตัวดี ๆ ไม่แน่ว่าคุณย่าท่านอาจจะยอมให้เธอคบหากับนายสรได้”
“เสกข์น่ะเขาเป็นเพื่อนฉัน ไม่ได้เป็นคนรักหรืออะไร แต่คนที่ฉันรักและเราก็คบหากันมานานคือคุณสร”
“งั้นหรือ”
กันต์ธัสมองหน้าเธอตรง ๆ
“แต่ฉันรวยนะ ฉันน่ะมีทรัพย์สมบัติเป็นหมื่น ๆ ล้าน นายสรน่ะไม่มีเท่าฉันหรอก”
“ฉันไม่สน”
กันต์ธัสสยายยิ้ม
“ไม่สนจริงหรือ เงินทองของฉัน เธอไม่อยากได้หรือ”
“ไม่ อย่าใช้ลูกไม้ตื้น ๆ แค่อยากจะได้ผู้หญิงสักคน ก็เอาเงินมาล่อ อย่ามาทำแบบนี้กับฉัน ยังไงฉันก็ไม่ยอมแต่งงานกับคุณหรอก”
“เสียใจนะ ตอนนี้เราจะถ่ายทอดสดไปให้คุณย่าท่านเห็นว่าเรากำลังจะแต่งงานกัน ถ้าเธออยากเป็นอิสระ ก็ไม่ควรปฏิเสธ”
หนึ่งธิดามองหน้าเขา
“หมายความว่าไง”
กันต์ธัสมองลึกเข้าไปในดวงตางามของเธอ
“ทันทีที่เธอแต่งงานกับฉัน เธอจะเป็นอิสระจากคุณย่า ท่านจะไม่มาบังคับหรือข้องเกี่ยวกับเธออีก เธอจะทำอะไรก็ได้”
“จริงหรือ”
กันต์ธัสพยักหน้า
“ฉันจะอยู่ที่ไหนล่ะ”
เขายักไหล่แล้วผายมือ
“ที่นี่”
เพียงเท่านั้นหนึ่งธิดาก็รีบหยิบเสื้อผ้าที่เธอโยนกองกับพื้นขึ้นมา
“ก็ได้ ฉันจะแต่งงานกับคุณ แต่ว่า เมื่อฉันยอมแต่งงานกับคุณแล้ว คุณจะต้องไม่ยุ่งกับฉันเหมือนกัน”
กันต์ธัสมองหน้าเธอนิ่ง
“คิดว่าฉันอยากจะยุ่งกับเธอจริง ๆ หรือ เด็กใจแตกที่ทำตัวเหลวแหลกอย่างเธอ คิดว่าคนอย่างฉันอยากจะยุ่งจริง ๆ หรือ”
หนึ่งธิดาเม้มปากแน่น
“อย่างน้อยคุณก็หลงรักฉันล่ะ แต่ฉันน่ะ ไม่มีวันยอมยุ่งเกี่ยวกับคุณหรอก แค่ให้ฉันเป็นอิสระเท่านั้นพอ”
“อีกอย่างหนึ่ง”
เขาเอ่ยขึ้น
“เธอปฏิเสธทรัพย์สมบัติของฉัน”
หนึ่งธิดาเชิดหน้าขึ้น
“ฉันไม่สนใจหรอก ไม่สนใจเงินทองของคุณ และฉันจะไม่ยอมจดทะเบียนกับคุณด้วย อ้อ และอย่าบอกใครให้มากมายไปกว่าคนงานของคุณล่ะว่าฉันเป็นเมียคุณ ฉันอายเขา”
เธอพูดจบก็หายเข้าไปยังห้องแต่งตัว เพียงไม่นานก็ออกมาในชุดพื้นเมืองทีทำให้เธอดูสวยไปอีกแบบ นุ้ยกลับเข้ามาจัดผมให้เธอใหม่ เป็นรวบไขว้ไปด้านข้าง เหน็บดอกไม้สด และแต่งหน้าอีกนิดหน่อยเพราะเธอสวยอยู่แล้ว
กันต์ธัสเผลอมองเธอนิ่งอยู่ชั่วครู่ เธอดูหวานและเป็นธรรมชาติมากจริง ๆ เด็กสาวที่เขาเห็นเธอมานานหลายปีจนรู้สึกชินกับการมองเห็นเธอ แต่ในส่วนลึกหัวใจของเขามันร้อนลุ่มและเต้นแรงทุกครั้งที่ได้มองเธอ และเจ็บเมื่อเห็นกระแสสายตาของเธอที่มองมาหาเขาอย่างหมิ่นแคลน
งานแต่งงานที่เหมือนงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีคนร่วมงานทั้งหมดไม่เกินยี่สิบคน ผู้ใหญ่ที่เป็นประธานงานในคืนนี้คือสัญจิตาเพียงคนเดียวเท่านั้น ดนุสรณ์ทำหน้าที่ถ่ายภาพแล้วส่งตรงไปให้ปิ่นประดับกับธามธรณ์ที่กรุงเทพฯ แต่คนที่แอบมองดูด้วยความขมขื่นและปวดร้าวคือภัสรดากับพาริภัค
“หนึ่งธิดา ฉันจะไม่ยอมให้แกได้ดีไปกว่าฉันนานนักหรอก ฉันจะหาทางเอาเขากลับคืนให้ได้”
ภัสรดามองเห็นแล้วก็ให้น้ำตาตกใน ส่วนพาริภัครู้สึกเสียดายพี่ชายของตนเองจับใจ แม้ว่างานคืนนี้จะไม่เหมือนงานแต่ง แต่มันก็คืองานแต่งที่พี่ชายต้องการ และทุกคนก็รับรู้แล้วว่า หนึ่งธิดาคือเมียคนใหม่ของเขา
“งานแต่งงานบ้านไหนกันจัดตอนกลางคืน พี่ธัสคิดยังไงของเขานะ”
พาริภัคเปรยออกมาเมื่อเดินมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ ดนุสรณ์
