บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 ไข่ดาวน้ำ

เมื่อทะลุมิติมาอีกครั้ง ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรในบริเวณลานบ้านแล้ว

กวนโย่วซวงเปิดม่านดู ท้องฟ้าก็มืดแล้ว

เธอเดินออกมา และพบว่าห้องโถงหลักมีแสงสลัว ๆ

ที่กวนเสียกู่มีไฟฟ้าใช้แล้ว แต่จางไฉ่เหอกลัวเปลืองไฟ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็จะไม่เปิดไฟ

กวนโย่วซวงรู้สึกหิวเล็กน้อย

ก็ไม่น่าแปลกใจ วันนี้ที่ตัวเมืองเธอวุ่นวายกับการเลือกสินสอดจนไม่มีเวลากินข้าว

เธอเดินเข้าไปในห้องโถงหลัก และพบว่าครอบครัวกำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกันอยู่

มันมืด ๆ จนไม่รู้ว่ากำลังกินอะไรอยู่ และก็ไม่ได้กลิ่นหอมอะไรด้วย

“แกยังรู้ตัวว่าต้องตื่นด้วยเหรอ?” จางไฉ่เหอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ตอนทำกับข้าวก็แกล้งตาย เรียกก็ไม่ยอมตื่น ตอนนี้ตื่นมาทำไม? ทำไมไม่หลับตายไปซะเลย?”

“โอ๊ย แม่ขา อย่าเพิ่งอารมณ์เสียขนาดนั้นสิคะ เดี๋ยวจะเสียสุขภาพนะคะ” กวนเหล่ยพูด

“พี่สาวไม่ได้ตั้งใจไม่ทำกับข้าวหรอกค่ะ วันนี้พี่เธอคงจะเหนื่อยมาก ใช่ไหมคะพี่สาว?”

ในนิยายต้นฉบับ กวนเหล่ยไม่เคยสุภาพกับเจ้าของร่างเดิมขนาดนี้มาก่อน

เหตุผลที่ทำเช่นนี้ในวันนี้แน่นอนว่าเป็นเพราะกวนโย่วซวงยอมสลับคู่แต่งงานกับเธอ เธอจึงกลัวว่าพี่สาวจะเปลี่ยนใจกะทันหัน

กวนโย่วซวงไม่ได้ตอบอะไร แค่ดึงเก้าอี้มานั่ง

บนโต๊ะมีอ่างกระเบื้องขนาดใหญ่หนึ่งใบ พร้อมด้วยตะเกียบและชามหนึ่งชุด

เพื่อประหยัดน้ำมันก๊าด ทุกครั้งที่ทำอาหารเย็นเสร็จ จางไฉ่เหอจะให้กวนโย่วซวงตักอาหารทั้งหมดใส่ในอ่างกระเบื้องขนาดใหญ่ เพื่อจะได้ไม่ต้องวิ่งไปมา

กวนโย่วซวงเปิดฝาหม้อบนอ่างกระเบื้อง นอกจากก้นอ่างที่มีซุปแป้งเปียกเหลือนิดหน่อย ข้างในก็ว่างเปล่า

จางไฉ่เหอจ้องมองเธอ และพูดว่า “ดูอะไร? ข้าวหมดแล้ว คนอย่างแกที่ไม่กระตือรือร้นแม้กระทั่งเรื่องกินข้าว ถ้าอยู่ในยุคสมัยกองการผลิต คงอดตายไปนานแล้ว”

“โย่วซวง แม่แกพูดถูก ครั้งหน้าก็กระตือรือร้นเรื่องกินข้าวหน่อย” กวนซิงกั๋วก็พูดเสริมมาหนึ่งประโยค

กวนเหล่ยเลื่อนชามของตัวเองไปให้ และพูดว่า “พี่คะ ซุปของฉันเพิ่งดื่มไปสองสามคำเอง ฉันตักให้พี่เอาไหม?”

“ไม่เป็นไร กินของเธอไปเถอะ”

กวนโย่วซวงเดินออกจากห้องโถงหลัก เข้าไปในครัว คลำหาสายสวิตช์ กดเปิดหลอดไฟ 15 วัตต์

จางไฉ่เหอก็วิ่งตามมาเหมือนคนบ้า และด่าว่า “แกทำอะไร? ใครอนุญาตให้แกเปิดไฟ นี่เพิ่งกี่โมงเองถึงเปิดไฟ แกไม่รู้หรือไงว่าค่าไฟรายเดือนมันแพงแค่ไหน?”

พูดจบ เธอก็ฉุดสายไฟเพื่อจะปิดไฟ

“ฉันได้ยินมาว่าการเปิด ๆ ปิด ๆ ไฟบ่อย ๆ จะเปลืองไฟมากกว่า” กวนโย่วซวงพูดเบา ๆ

แน่นอนว่าจางไฉ่เหอถูกหลอกให้หยุดนิ่ง ไม่ได้ปิดไฟอีก แต่ใช้คำพูดหยาบคายต่าง ๆ นานาด่าลูกสาว

กวนโย่วซวงไม่รู้สึกอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าหนวกหูมาก

เธอเทน้ำหนึ่งทัพพีลงในหม้อ แล้วใส่ฟางข้าวเข้าไปในเตาไฟ ขีดไม้ขีดจุดไฟ

“แกจะทำอาหารเหรอ?”

“ใช่สิ แม่ไม่เหลือข้าวไว้ให้ ฉันก็อดตายไม่ได้นี่?”

กวนโย่วซวงค้นหาไปทั่ว และหยิบไข่ไก่ออกมาสองฟอง

ใบหน้าของจางไฉ่เหอเขียวคล้ำไปหมด

เมื่อกี้ต้มซุปแป้ง เธอตอกไข่ใส่แค่ฟองเดียวเท่านั้น

พวกเขาสี่คนกินหนึ่งฟอง แต่ลูกสาวคนนี้จะกินคนเดียวสองฟองเลยเหรอ?

ปกติเห็นลูกสาวคนโตคนนี้ทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน วันนี้โดนผีเข้าหรือไง ถึงได้กล้าบ้าระห่ำขนาดนี้

เธอพุ่งเข้าไป หยิบไข่บนเขียงขึ้นมา และตะโกนว่า “แกจะทำอาหารฉันไม่มีความเห็น แต่ห้ามกินไข่ ในบ้านมีแม่ไก่ที่ออกไข่แค่สองตัว แกก็รู้นี่”

กวนโย่วซวงมองแม่ของเธออย่างเย็นชา ใช้มือเดียวก็หิ้วกล่องใส่ไข่ออกมา

กล่องใส่ไข่ทำจากไม้เนื้อแข็ง ซึ่งหนักอยู่แล้ว เมื่อรวมกับไข่อีกหลายสิบฟอง คงมีไม่กี่คนที่สามารถถือด้วยมือเดียวได้

จางไฉ่เหอถึงกับตกตะลึง

“แม่คะ ฉันขอเตือนให้แม่คิดให้ดี ๆ หลายปีมานี้ ฉันช่วยงานในบ้านก็ไม่น้อยเลยใช่ไหม? ฉันกำลังจะแต่งงานแล้ว สินสอดแม่ก็ได้ไปไม่น้อย

แม่ทำดีกับฉันหน่อย ฉันอาจจะยังคิดถึงบุญคุณที่เลี้ยงดู แล้วดูแลแม่ในวัยชราได้ แต่ถ้าไม่...”

กวนโย่วซวงหยุดชั่วครู่ และพูดเบา ๆ ว่า “จริง ๆ แล้วฉันสงสัยมากเลยว่าฉันเป็นลูกแท้ ๆ ของแม่หรือเปล่า?”

จางไฉ่เหออ้าปากหลายครั้ง แต่ก็พูดอะไรไม่ออก

น้ำเดือดแล้ว กวนโย่วซวงใช้ไม้คนเตา พอไฟเบาลง เธอก็ตอกไข่สองฟองลงไป

จางไฉ่เหอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโรคหัวใจกะทันหัน

ประตูใหญ่ส่งเสียง "เอี๊ยดอ๊าด" เธอหันกลับมามอง และเห็นหวังเยว่เถาเดินเข้ามา

“เชิญเข้ามานั่งในบ้านก่อนค่ะ”

“ไม่จำเป็น” หวังเยว่เถาพูดอย่างเย็นชา

“ฉันมาเพื่อพูดเรื่องของเฟิงเฟิง บาดแผลถูกพันไว้ชั่วคราวแล้ว แต่ทางโรงพยาบาลบอกว่าเด็กถูกตีจนกระทบกระเทือนทางสมอง สัปดาห์หน้าจะต้องไปตรวจซ้ำ วันนี้จ่ายไป 28 หยวน คุณต้องช่วยจ่ายให้ก่อน”

“28 หยวนเหรอคะ? โอ้ ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำให้คุณเดือดร้อนแล้ว คุณเข้าไปนั่งข้างในบ้านก่อนนะคะ”

“คุณรีบไปเอาเงินมาเถอะค่ะ ฉันยุ่งอยู่”

จางไฉ่เหอรู้สึกอัดอั้นในใจ 28 หยวน รายได้ต่อปีของพวกเขาแค่ไม่กี่หยวน สินสอดจากบ้านตระกูลจ้าวได้มาครึ่งหนึ่ง แต่พวกเขาก็นำไปใช้หนี้เก่าหมดแล้ว

ส่วนที่เหลืออีกร้อยกว่าหยวน เธอก็ให้กระเป๋าสตางค์แก่ลูกสาวคนเล็ก เพื่อให้เธอไปซื้อสินสอดที่เธอชอบเอง

ทั้งหมดเป็นความผิดของลูกสาวคนโตที่ออกความคิดบ้า ๆ บอ ๆ

เธอกลับเข้าไปในห้อง อยากจะด่ากวนรุ่ยเจี๋ย แต่คิดว่าหวังเยว่เถายังอยู่ที่ลานบ้าน จึงทำได้แค่เตะลูกชายอย่างแรงด้วยความอัดอั้น

“เหล่ยเหล่ย วันนี้ลูกซื้อของเหลือเงินเท่าไร เอามาให้แม่ก่อน แม่ของเฟิงเฟิงกำลังรออยู่ข้างนอก” จางไฉ่เหอกระซิบ

“อ๊ะ?” กวนเหล่ยอุทาน “ฉันใช้หมดแล้วค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันไปบอกคุณป้า ให้เธอผ่อนผันไปก่อน จนกว่าจ้าวหยางกับกู้เอ่อหรงจะจ่ายสินสอดส่วนที่เหลือ แล้วค่อยเอาไปให้พวกเขา”

“เฮ้อ ไม่มีประโยชน์หรอก ตอนนี้เธอยังโกรธอยู่ แถมยังบอกว่าสัปดาห์หน้าจะต้องพาเฟิงเฟิงไปตรวจซ้ำอีก คงต้องใช้เงินอีก แล้วพ่อล่ะมีเงินไหม?”

จางไฉ่เหอถามกวนซิงกั๋วที่กำลังเคี้ยวหมั่นโถวแห้งอยู่

“ฉันจะไปมีได้ยังไง เงินทั้งหมดให้เธอเป็นคนเก็บ”

“ไอ้ขี้แพ้เอ๊ย ผู้ชายคนอื่นเขาออกไปทำงานนอกบ้าน ก็หาเงินกลับมาได้หลายร้อยหยวน แต่เราต้องอาศัยแค่ที่ดินไม่กี่ผืนในบ้าน ฉันนี่มันอาภัพจริง ๆ”

ถ้าเปิดไฟ คงจะเห็นว่าใบหน้าของกวนซิงกั๋วน่าเกลียดขนาดไหน

กวนเหล่ยรีบพูดว่า “แม่ อย่าพูดกับพ่อแบบนั้นเลยค่ะ พ่อก็ลำบากเหมือนกัน เดี๋ยวฉันไปหายืมจากฉินฉินก่อน พรุ่งนี้ฉันจะไปร้านค้าคืนผ้าห่มขนสัตว์สองผืน แล้วเอาเงินไปคืนเธอ

หมุนเวียนไปก่อนไม่เป็นไรหรอกค่ะ แม่อย่าโกรธเลยนะคะ”

“ผ้าห่มขนสัตว์เป็นของแต่งงานของแก จะคืนได้ยังไง?”

“โอ๊ย แม่ ขาดผ้าห่มขนสัตว์ไปสองผืนไม่เป็นไรหรอกค่ะ” กวนเหล่ยตบมือแม่เบา ๆ แล้วเดินออกไป

กวนโย่วซวงตักไข่ดาวน้ำใส่ชาม หาหมั่นโถวแป้งสาลีมาชิ้นหนึ่ง แช่ลงไปในชาม แล้วนั่งกินอยู่หน้าครัวเงียบ ๆ โดยไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาเหมือนใบมีดของหวังเยว่เถา

กวนเหล่ยเดินเข้าไปในครัว หยิบผ้ากันเปื้อนมาห่อไข่ไก่สิบฟอง เดินออกมาและยัดใส่มือหวังเยว่เถา แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า

“คุณป้าคะ ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ ที่ฉันไม่อยู่บ้านตอนบ่าย เลยไม่ได้ดูแลเจ้าเสี่ยวเจี๋ย ทำให้เขาก่อเรื่องใหญ่ ทำให้เฟิงเฟิงต้องเจ็บตัว

“คุณป้าเอาไข่พวกนี้ไปก่อนนะคะ ให้เฟิงเฟิงบำรุงร่างกาย ส่วนเรื่องเงิน คุณป้าสบายใจได้ค่ะ อย่างช้าที่สุดพรุ่งนี้ ฉันจะเอาไปให้คุณป้าแน่นอนค่ะ ให้เพิ่มอีก 2 หยวน เป็น 30 หยวน คุณป้าว่าไงคะ?”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel