บทที่ 14 เกล้าผม
วันที่สิบหกเดือนเมษายน
แม้ว่าเพิ่งจะตีห้ากว่า ๆ ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างยังคงมืดสลัว กวนเหล่ยก็เริ่มแต่งตัวอย่างว่องไว
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขย่า กวนโย่วซวงที่ยังคงจมดิ่งอยู่ในความฝันอันแสนหวาน และพูดเบา ๆ ว่า “พี่คะ ตื่นเร็วค่ะ พวกเราต้องไปเกล้าผมที่อำเภอแล้ว”
ในชาติที่แล้ว เธอไปเกล้าผมที่ตำบล ช่างฝีมือแย่มาก แถมยังเสียดายกาว ทำให้ทรงผมของเธอย้วยลงมาครึ่งทางในขณะที่กำลังชนแก้วรับแขก
ในชาตินี้ แน่นอนว่าเธอต้องเลือกสถานที่ที่ดีกว่า
กวนโย่วซวงพลิกตัวแล้วนอนต่อ
“พี่คะ?”
“ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเธอเลย เดี๋ยวจะขึ้นรถประจำทางไม่ทัน” จางไฉ่เหอเปิดม่านประตูเข้ามายื่นชามให้ แล้วพูดเสียงต่ำว่า “ลูกรีบกินไข่ดาวสองฟองนี้ซะ”
“สองฟองเหรอคะ?”
“ใช่สิ วันนี้เป็นวันมงคลของลูก ต้องกินสองฟอง ความหมายดี”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะแม่”
“กินเสร็จก็รีบเปลี่ยนชุดใหม่ซะ เกล้าผมเสร็จแล้วจะเปลี่ยนยาก แล้วเอาเสื้อแม่มาใส่ทับด้านนอกอีกตัว บนรถประจำทางไม่สะอาด อย่าให้ชุดใหม่เปื้อน”
“ค่ะ”
วันนี้อากาศดีมาก เพิ่งจะแปดโมงกว่า ดวงอาทิตย์ก็สาดแสงสีแดงไปทั่วทั้งพื้นดิน
กวนโย่วซวงลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมข้างนอก เธอเปิดม่านหน้าต่างมองออกไปที่ลานบ้าน เห็นพ่อของเธอยืนติดป้ายอวยพรคู่ที่ข้างประตูใหญ่
เขาเอาป้ายอวยพรวางบนโต๊ะ หยิบไม้กวาดเก่า ๆ จุ่มแป้งเปียก แล้วบรรจงทาลงบนป้ายอวยพร
ทุกขั้นตอนทำอย่างตั้งใจมาก
ลานบ้านถูกกวาดจนสะอาดเอี่ยมอ่อง เชือกตากผ้าก็ถูกถอดออกไปแล้ว
ไม่รู้ว่าเมื่อไร ลำโพงขนาดใหญ่สีเทาเงินก็ถูกแขวนอยู่เหนือประตูใหญ่ สายไฟยาว ๆ ก็ต่อคดเคี้ยวไปยังปลั๊กไฟที่ขั้นบันไดของบ้านหลัก
โอ้ วันนี้เป็นวันมงคลของเธอกับน้องสาว
เมื่อนึกถึงเมื่อคืนที่น้องสาวนอนกระสับกระส่ายตลอด เธอดูเหมือนจะสงบกว่ามาก
เธอมองไปยังผ้าห่มที่ว่างเปล่าข้าง ๆ แล้วก็ถอนหายใจ น้องสาวคิดว่าชีวิตในอนาคตจะสวยงามเกินไปแล้ว!
เธอค่อย ๆ ลุกจากเตียง เดินไปที่โต๊ะ หยิบกระติกน้ำร้อนรินน้ำใส่แก้ว ดื่มเสร็จก็เริ่มล้างหน้าแปรงฟัน
ตอนที่ไปอำเภอก่อนหน้านี้ เธอได้ซื้อเครื่องสำอางชุดใหญ่มา กำลังคิดว่าจะแต่งหน้าแบบไหนดี เหลียงอวี้ถิงก็วิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น
“อ้าว? นี่เพิ่งจะล้างหน้าเองเหรอ?”
“อืม เพิ่งตื่น”
“ขบวนขันหมากก็จะมาแล้วนะ ทำไมถึงปล่อยให้คนอื่นต้องเป็นห่วงขนาดนี้”
เหลียงอวี้ถิงตำหนิพลางรีบช่วยเธอจัดของ “กระจกนี่ต้องเอาไปด้วยใช่ไหม? แล้วแจกันนี้ ทำไมยังมีดอกไม้สีขาวอยู่ ดึงทิ้งไปเลย”
พูดจบ เหลียงอวี้ถิงก็ดึงดอกกุหลาบสีขาวดอกนั้นออกไป
ดอกไม้นี้ กวนโย่วซวงซื้อมาจากตำบลเมื่อสองวันก่อน เธอไม่ได้เชื่อเรื่องโชคลางเท่าเหลียงอวี้ถิง แต่เห็นเพื่อนสนิทคำนึงถึงเธอขนาดนี้ เธอก็รู้สึกซึ้งใจมาก
“รีบล้างหน้าเถอะ แล้วเราจะไปเกล้าผมที่ตำบลกัน รอก่อน ฉันจะไปเอารถจักรยานที่บ้านมารับเธอไป”
พูดจบ เหลียงอวี้ถิงก็เตรียมจะออกไป
กวนโย่วซวงจับแขนของเธอไว้ แล้วยิ้มพลางพูดว่า “ไม่ต้องไปหรอก เธอช่วยทำผมให้ฉันก็พอ”
“ฮะ? ฉันทำไม่เป็นนะ”
“งั้นก็ช่วยฉันมัดผมหางม้า หรือไม่ก็ถักเปียเหมือนเธอแบบนี้ก็ได้”
“โย่วซวง! เธอสติไม่ดีหรือเปล่า วันนี้เป็นวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอนะ! แม่ฉันบอกว่า วันนี้ทำอะไรก็ห้ามประมาทเด็ดขาด”
“ไม่เป็นไร สำหรับฉันแล้ว เธอคือคนสำคัญในชีวิตของฉัน ฉันชอบให้เธอทำให้”
กวนโย่วซวงพูดคำเหล่านี้ออกมาจากใจจริง สิ่งเดียวที่เธอต้องการทะนุถนอมก็คือเพื่อนคนนี้
“เธอช่วยมัดผมให้ฉัน ช่วยแต่งหน้าให้ฉันหน่อย”
“แต่ฉันแต่งไม่เก่งนะ”
“ไม่เป็นไร ขอแค่เป็นเธอแต่งให้ ฉันก็ชอบหมด”
เด็กสาวคนนี้ก็รู้สึกซึ้งใจ เธอรีบล้างมือและเริ่มทำผมให้เพื่อนสนิท
เหลียงอวี้ถิงมีใบหน้าที่ดูเป็นมิตรเหมือนเด็กสาวข้างบ้าน เมื่อดูจากองค์ประกอบใบหน้าแต่ละส่วน อาจจะไม่โดดเด่นมาก แต่เมื่อรวมกันแล้วก็ดูดีมาก
เป็นผู้หญิงสวยที่มองไม่เบื่อ
ตั้งแต่เธอมีแฟน เธอก็ชอบทำผมทำสวยให้ตัวเองเป็นพิเศษ ทรงผมและเครื่องสำอางต่าง ๆ ในหนังสือพิมพ์และโปสเตอร์โฆษณา เธออยากลองทำดูหมด
และเมื่อเวลาผ่านไป ทักษะการแต่งหน้าของเธอก็ถือว่าไม่เลว
กวนโย่วซวงนั่งบนเก้าอี้ ปล่อยให้เธอจัดการ
ในเวลาเดียวกัน
ร้านทำผมสุดอินเทรนด์ในอำเภอถง
กวนเหล่ยนั่งข้างกระจกบานใหญ่ มองสำรวจทรงผมเจ้าสาวของตัวเองทั้งซ้ายขวา
ด้านบนศีรษะของเธอถูกเกล้าเป็นมวยสูง มวยผมถูกล้อมรอบด้วยลอนผมที่ประณีต ด้านบนของมวยปักด้วยปิ่นปักผมสีแดงยาวสองอัน
ปิ่นปักผมมีพู่ยาวห้อยลงมา ประดับด้วยไข่มุกเทียมที่เปล่งประกาย
ที่โคนผมด้านขวาติดดอกไม้ปลอมสีแดงเล็กน้อย
นี่คือทรงผมที่ได้รับความนิยมที่สุดในปีนี้
“แม่คะ เป็นไงบ้าง?”
“สวย สวยมากเลย คุ้มค่าเงินที่เสียไป”
เจ้าของร้านผู้หญิงที่ใส่เสื้อรัดรูป ดัดผมลอนใหญ่ ทาลิปสติกสีแดงสด ดูดบุหรี่แล้วดับมวนบุหรี่ กล่าวว่า
“ส่วนการแต่งหน้า จะลองแต่งหน้าโทนดอกท้อที่กำลังอินเทรนด์ในแถบชายฝั่งทะเลดูไหม?”
“ดีค่ะ”
เจ้าของร้านหยิบแปรงปัดแป้ง เริ่มลงรองพื้นให้กวนเหล่ยอย่างชำนาญ
จางไฉ่เหอยิ้มแล้วพูดว่า “ฝีมืออย่างคุณ น่าจะเปิดร้านใจกลางอำเภอ ที่นี่เปลี่ยวเกินไป”
แม่ลูกคู่นี้มาถึงอำเภอเช้าเกินไป ร้านค้าหลายแห่งยังไม่เปิด พวกเขาตระเวนไปทั่วอำเภอ กว่าจะเจอร้านนี้
ถึงแม้จะดูไม่หรูหรานัก และป้ายด้านนอกก็เป็นป้ายที่แขวนไว้ชั่วคราว แต่ตอนนี้ก็ทำได้แค่ลองดูเท่านั้น
ใครจะคิดว่าเจ้าของร้านคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มาจากแถบชายฝั่งทะเล!
เจ้าของร้านยิ้มแล้วพูดว่า “ใจกลางเมืองยังไม่มีทำเลที่เหมาะสม ร้านนี้ต้องการเซ้งด่วน ฉันก็เลยรับไว้ก่อน”
เธอชี้ไปที่ผนังสีเทา ๆ “ยังไม่มีเวลาตกแต่งเลย”
“แล้วร้านนี้เมื่อก่อนทำอะไรเหรอคะ?”
“ร้านไพ่นกกระจอก ที่ขายเครื่องดื่มและของว่างด้วย ได้ยินว่าธุรกิจก็ใช้ได้ แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนมีวัยรุ่นอันธพาลสามคนโกงเงินไปเกือบหนึ่งร้อยหยวน
คุณตาที่ดูแลร้านฆ่าตัวตาย ลูกชายของเขาเลยรีบเซ้งร้าน”
“อ้าว? เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”กวนเหล่ยแทรกขึ้นมา
“เขาบอกว่าคืนนั้นมีวัยรุ่นอันธพาลสามคนมาเล่นไพ่นกกระจอกและดื่มเหล้าที่ร้าน พอถึงเวลาจ่ายเงิน พวกเขาบอกว่ากระเป๋าสตางค์ถูกขโมยไป
แล้วก็ทิ้งบัตรประชาชนของคนหนึ่งไว้ให้คุณตาที่ดูแลร้าน และสัญญาว่าจะนำเงินมาให้ในวันรุ่งขึ้น...มองขึ้นข้างบนค่ะ ฉันกำลังจะกรีดอายไลเนอร์”
เจ้าของร้านพูดต่อ “แต่วันรุ่งขึ้น คุณตาก็รอเป็นเวลานาน ก็ไม่เห็นวี่แววของพวกเขา คุณตาเลยนำบัตรประชาชนไปตรวจสอบที่สำนักงานตำรวจ ก็พบว่าบัตรประชาชนนั้นเป็นของคนอื่นที่ทำหายไป และถูกระงับไปนานแล้ว
ลูกชายของคุณตาคนนั้นเดิมทีก็ไม่กตัญญูอยู่แล้ว พอโกรธเลยเอาไม้ตีพ่อ คุณตาก็เลยกินยาเบื่อหนูในวันนั้น ลูกชายกลัวคนอื่นนินทา เลยรีบเซ้งร้านแล้วหนีไปทำงานที่ต่างถิ่น”
“บาปกรรมจริง ๆ!” จางไฉ่เหออุทาน “ตำรวจจับพวกอันธพาลพวกนั้นได้ไหมคะ?”
“ไม่ได้ค่ะ นอกจากบัตรประชาชนปลอมแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลือไว้เลย ที่นี่ไม่เหมือนแถบชายฝั่งทะเลที่มีกล้องวงจรปิดตามทางแยกสำคัญ ๆ”
“เฮ้อ คนพวกนี้ต่อให้ไม่ตาย สุดท้ายก็ต้องเจอกรรมตามสนองอยู่ดี” จางไฉ่เหอกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ผู้หญิงคนไหนที่แต่งงานกับคนแบบนี้ ถือว่าโชคร้ายตลอดชีวิต”
