บทที่ 11 อบรมสั่งสอน
เดิมทีเธอตั้งใจจะพูดว่า พวกเราแต่งงานพร้อมกัน การกระทำเช่นนี้จะทำให้พ่อแม่ลำบากใจ และทำให้ตระกูลจ้าวไม่พอใจด้วย
“คืองี้นะ เหล่ยเหล่ย เธอไม่รู้หรอกว่าแม่ของเราทำเกินไปแค่ไหน แม่เพิ่มสินสอดให้ตระกูลกู้ตั้ง 200 หยวน เมื่อวานฉันไปที่อำเภอ เดิมทีตั้งใจจะซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้เราสองคน
แต่ใครจะรู้ว่าบังเอิญไปเจอคนอื่นกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องตระกูลกู้ เรื่องที่บ้านเราเพิ่มสินสอดก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วแล้ว ฉันไม่เคยรู้เลยว่าตระกูลกู้จนขนาดนั้น
ดูเหมือนว่าในบ้านจะไม่มีเฟอร์นิเจอร์ที่ดีเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แม้ว่ากู้เอ่อหรงจะทำงานที่สำนักไฟฟ้าและน้ำประปา แต่ฉันได้ยินมาว่าเขาไม่มีแม้แต่ตำแหน่งงาน
คาดว่าจะถูกไล่ออกในเดือนสิงหาคมปีนี้ เฮ้อ การที่ฉันซื้อเฟอร์นิเจอร์มาก็คิดว่าจะให้พ่อแม่ได้มีหน้ามีตาบ้าง ทุกอย่างซื้อมาแบบติดหนี้”
กวนเหล่ยใจเต้นแรง กลัวว่าพี่สาวจะพูดออกมาว่าไม่อยากเปลี่ยนตัวแต่งงาน
เธอรีบพูดว่า “พี่คะ ฉันเข้าใจพี่ค่ะ แม่ก็แค่ปากร้ายใจดี พี่ไม่ต้องกังวลนะ ฉันจะไปพูดกับแม่เอง ตระกูลกู้จริง ๆ แล้วก็ไม่เลวนะคะ ฉันได้ยินมาว่ากู้เอ่อหรงดูดีมากทีเดียว”
“ฉันไม่เป็นไร เหล่ยเหล่ย” กวนโย่วซวงตบมือของน้องสาวเบาๆ
“ฉันมีแรง พอแต่งเข้าไปก็สามารถดูแลพ่อแม่ของเขาได้ ขอแค่เธอมีความสุข พี่ก็ดีใจแล้ว”
“ขอบคุณค่ะพี่”
“เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ฉันซื้อให้เราสองคน น่าจะมาถึงพรุ่งนี้ค่ะ วันนี้ของเยอะมากจริง ๆ ถือไม่ไหว ทางร้านบอกว่าพรุ่งนี้จะมาทำประชาสัมพันธ์ที่ตำบลของเราพอดี ก็จะถือโอกาสนำลงมาให้เราด้วย”
“พี่คะ พี่ยังซื้อเสื้อผ้าให้ฉันด้วย” กวนเหล่ยคิดถึงการช้อปปิ้งครั้งใหญ่ของตัวเองในวันนี้ ก็รู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง
“อืม เราสองคนเป็นพี่น้องกัน รูปร่างก็ใกล้เคียงกัน ฉันก็เลยซื้อมาอีกชุดหนึ่ง เธออย่าคิดมากนะ ฉันเป็นพี่สาว ซื้อของขวัญแต่งงานให้เธอเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว”
กวนรุ่ยเจี๋ยร้องไห้มานานแล้ว รู้สึกเหมือนน้ำตาแห้งหมดแล้ว
เขารอแล้วรอเล่า ก็ไม่มีใครออกมา ใจก็ร้อนรนและหวาดกลัว
จางไฉ่เหอเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน เดินไปเดินมาบนพื้น คอยแง้มม่านประตูแอบมองลูกชายเป็นพัก ๆ
เธอไม่รู้ว่าลูกสาวคนโตคิดจะทำอะไร หลายครั้งที่เธออยากจะออกไปดึงลูกชายที่รักของเธอขึ้นมา
แต่พอคิดถึงเงินหนึ่งร้อยหยวน ก็ทนเอาไว้
เหล่ยเหล่ยชอบฟังเพลง เธออยากจะซื้อเครื่องเล่นเทปให้อีกเครื่องเป็นของติดตัวไป
เธอเคยไปถามที่ร้านค้าแล้ว เครื่องเล่นเทปรุ่นล่าสุดราคามากกว่า 70 หยวน
เธอจึงหยิบปุยฝ้ายออกมาจากตู้เก็บของบนเตียง แบ่งเป็นสองก้อนเล็ก ๆ แล้วยัดเข้าไปในหู
ไม่ได้ยินก็สบายหู
หลังจากกวนโย่วซวงคุยกับกวนเหล่ยเสร็จ ก็เดินออกมา
ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว กวนรุ่ยเจี๋ยก็เริ่มร้องไห้โหยหวนรอบใหม่
กวนโย่วซวงเดินเข้าไป คุกเข่าข้าง ๆ เขา แล้วถามว่า
“ฉันได้ยินมาว่าใต้ลานบ้านมีเทพเจ้าแห่งผืนดิน และฉันก็ได้ยินมาว่าเทพเจ้าแห่งผืนดินมีอารมณ์ร้อน ถ้าใครรบกวนการนอนหลับของเขา เขาจะจับคนนั้นลงไปใต้ดิน”
กวนรุ่ยเจี๋ยได้ยินก็ตกใจกระโดดขึ้นมาทันที มองพื้นไปมา กลัวว่าเทพเจ้าแห่งผืนดินจะมาจับเขา
“ไม่ต้องกังวล ตอนนี้เธอขึ้นมาแล้ว เทพเจ้าแห่งผืนดินจะไม่มาจับเธอ แต่ห้ามมีครั้งหน้าเด็ดขาดนะ”
กวนโย่วซวงตบดินบนตัวน้องชาย แล้วพูดว่า “เสี่ยวเจี๋ยของเราเป็นลูกผู้ชาย ลูกผู้ชายต้องหลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา เธอว่าจริงไหม?”
กวนรุ่ยเจี๋ยสะอึกสะอื้นพยักหน้า
“พี่รู้ว่าเธออยากได้ปืน แต่ว่าพ่อแม่ไม่มีหน้าที่ต้องตอบสนองความต้องการทั้งหมดของเธอ เราต้องเรียนรู้ที่จะใช้คุณค่าของเราไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ต้องการ รู้ไหม?”
“คุณค่าของตัวเอง?”
“ใช่แล้ว คุณค่าของตัวเอง เช่น การทำงาน ผลการเรียน เป็นต้น เราสามารถตกลงกับพ่อแม่ไว้ล่วงหน้าได้ เช่น ถ้าสอบครั้งนี้ได้ 90 คะแนนขึ้นไป หวังว่าจะได้ปืนหนึ่งกระบอก
ถึงเวลานั้น เธอก็สามารถใช้ผลการเรียนของเธอแลกกับสิ่งที่เธอต้องการได้ เข้าใจไหม?”
“แต่...แต่ผมไม่เคยสอบได้ถึง 90 คะแนนเลย” กวนรุ่ยเจี๋ยพูดอย่างท้อแท้
“พี่แค่ยกตัวอย่าง เอาอย่างนี้ดีกว่า ตอนนี้พี่สัญญา ถ้าคืนนี้เธอจัดเรียงฟืนที่ลานหลังบ้านให้เรียบร้อย พี่จะซื้อปืนให้เธอหนึ่งกระบอก เป็นไง?”
กวนรุ่ยเจี๋ยตาเป็นประกาย ถามพี่สาวคนโตซ้ำ ๆ ว่าจริงหรือเปล่า
“จริงสิ ถ้าเธอจัดเรียงเรียบร้อย เราก็จะไปซื้อปืนทันที ถ้าที่ร้านปิด ก็ซื้อพรุ่งนี้ สรุปคือเธอสามารถเลือกกระบอกที่เธออยากได้ที่สุดได้เลย”
“ดีเลย ผมจะไปทำเดี๋ยวนี้” กวนรุ่ยเจี๋ยเช็ดน้ำตา แล้ววิ่งไปยังลานหลังบ้านอย่างรวดเร็ว
“ผมจะจัดเรียงให้เรียบร้อยแน่นอน”
“ดี พี่เชื่อเธอ”
กวนเหล่ยที่ยืนดูเหตุการณ์นี้อยู่บนบันได รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
ชาติที่แล้ว พี่สาวไม่เคยปฏิบัติแบบนี้เลย เธอเหมือนกับแม่ คอยตามใจน้องชายทุกอย่าง มีอะไรก็ตอบสนองทุกความต้องการ
แม้เจอน้องชายอาละวาด ก็ยังคอยอ้อนวอนปลอบโยนทุกวิถีทาง
จริง ๆ แล้วเธอตั้งใจจะสอนน้องชาย แต่น้องชายไม่เคยฟังเธอเลย นานวันเข้า น้องชายก็กลายเป็นคนเกเรไม่ทำงานทำการ
จางไฉ่เหอและกวนซิงกั๋วก็ประหลาดใจเช่นกัน
จางไฉ่เหอยัดหูอยู่ แต่เสียงตะโกนของลูกชายที่บอกว่าจะไปจัดเรียงฟืนที่ลานหลังบ้านก็ยังดังลอดเข้ามาในหูของเธอ
เธอรีบดึงปุยฝ้ายออกจากหู แล้วถามกวนซิงกั๋วว่า “เมื่อกี้ใช่เสี่ยวเจี๋ยพูดไหม ว่าเขาจะไปจัดเรียงฟืนที่ลานหลังบ้าน?”
“ใช่แล้ว โย่วซวงกำลังสอนเขาอยู่ ดูเหมือนว่าจะเข้าใจแล้ว” กวนซิงกั๋วสูบยาเส้นแห้ง “ฉันรู้สึกว่าโย่วซวงเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก”
จางไฉ่เหอแค่นเสียงเยาะเย้ย แล้วพูดว่า “แน่นอนว่าไม่เหมือนเดิม อยู่ดี ๆ ก็เหมือนถูกผีเข้า ปากเก่งมาก ถึงขนาดไม่เห็นแม่คนนี้อยู่ในสายตาเลย”
“ลูกโตแล้ว เธอก็ด่าให้น้อยลงหน่อยเถอะ”
จางไฉ่เหอจ้องเขา แล้วเดินออกจากห้อง
สำหรับเธอ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเอาเงิน 100 หยวนนั้นมาให้ได้
กวนโย่วซวงยืนอยู่ที่ประตูหลังบ้าน เปิดไฟหลังบ้าน มองดูน้องชาย
จางไฉ่เหอยิ้มแย้มเดินเข้าไป แต่พอเห็นลูกชายแบกฟืนกองใหญ่ขนาดนั้น หัวใจของเธอก็เหมือนถูกมีดแทง ยิ้มไม่ออกทันที
แล้วมองดูหลอดไฟ 15 วัตต์ ก็อดรู้สึกเสียดายค่าไฟไม่ได้ จึงพูดว่า “โย่วซวง ตอนนี้ก็มืดแล้ว พวกเธอก็รีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยจัดเรียงต่อก็ได้”
จริง ๆ แล้วเธออยากจะพูดว่า ให้ลูกชายรีบไปนอน พอคิดดูแล้ว ก็พูดคำว่า “พวกเธอ” ออกมาอย่างฝืนใจ
“แม่ ผมยังไม่ง่วง นี่เป็นเรื่องระหว่างผมกับพี่ แม่กลับเข้าห้องไปเถอะ”
ยังไม่ทันที่กวนโย่วซวงจะพูด กวนรุ่ยเจี๋ยก็ตะโกนขึ้นมา
“แต่ว่าหลอดไฟนี้มันเปลืองไฟนะ”
จางไฉ่เหอมองดูดาวบนฟ้า “พรุ่งนี้ก็ไม่มีฝน ไม่ต้องจัดหรอก”
กวนโย่วซวงหยิบเงิน 100 หยวนออกมา แล้วพูดว่า “แม่คะ เสี่ยวเจี๋ยเป็นลูกผู้ชาย สัญญาแล้วก็จะทำตามที่พูดแน่นอน แม่ไม่ต้องพูดอะไรแล้วค่ะ นี่เงินของแม่ แม่กลับเข้าห้องไปเถอะ”
“ใช่แล้วค่ะแม่ ฉันคิดว่าพี่สอนได้ดีมาก แม่วางใจให้พี่ดูแลน้องเถอะค่ะ” กวนเหล่ยก็เดินเข้ามาพูดเสริม
จางไฉ่เหอรีบรับเงินมา แล้วพูดว่า “อ๋อ ดี ดี งั้นแม่กลับเข้าห้องก่อนนะ”
จากนั้นมองไปที่ลานหลังบ้านแวบหนึ่ง ทำใจแข็งแล้วกลับเข้าห้องหลักไป
“ฉันก็จะไปช่วยน้องด้วย” กวนเหล่ยพูด แล้วสบตากับกวนโย่วซวงพูดเบาๆ ว่า “พี่คะ พี่เข้าไปพักในห้องเถอะ ฉันจะช่วยพี่คอยคุมเขา”
