ตอนที่ 7 แม่กับน้องสามี
ตอนที่ 7 แม่กับน้องสามี
หลังจากซุปได้ที่แล้ว หลินซูเหยาก็ยกหม้อซุปลง แล้วผัดผักคะน้าต่อ รอจนน้ำมันร้อน นางก็ใส่เนื้อหมูลงไปผัดจนเปลี่ยนสี กลิ่นหอมของเนื้อหมูที่ถูกความร้อนเริ่มฟุ้งกระจาย ก่อนจะใส่ผักคะน้าที่หั่นไว้ลงไป ผัดให้เข้ากัน ตามด้วยซีอิ๊วขาว ผงปรุงรสและน้ำปลานิดหน่อย คะน้าสีเขียวสดกำลังเหี่ยวลงอย่างช้าๆ ส่งกลิ่นหอมที่กระตุ้นความหิว
“ใกล้เสร็จแล้ว...” หลินซูเหยาพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม ขณะผัดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
นางตักผัดคะน้าหมูใส่ชามไม้ขนาดกลาง วางไว้บนโต๊ะไม้เตี้ยๆ ข้างๆ ชามซุปซี่โครงและหม้อข้าวสวยที่นางเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ แต่นางยังคิดว่ามื้อเช้านี้ขาดอะไรไปสักอย่าง
“ไข่!” นางนึกขึ้นได้ จึงหยิบไข่ไก่สองฟองที่เหลืออยู่ออกมาจากระบบ ตอกใส่ชามเล็ก ตีให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยผงปรุงรส น้ำปลาเล็กน้อย
นางยกกระทะวางบนเตาอีกครั้ง เทน้ำมันลงไปเล็กน้อย รอจนร้อนแล้วเทไข่ลงไป เสียงไข่ฟู่ฟู่ดังขึ้นทันที นางใช้ตะหลิวไม้พลิกกลับด้านไข่อย่างคล่องแคล่ว เมื่อไข่เป็นสีเหลืองทองน่ากินแล้ว นางก็ตักออกมาวางบนจานไม้
อาหารเช้าตอนนี้พร้อมแล้ว ซุปซี่โครงหมูกับผัดคะน้าใส่หมู ไข่เจียวกรอบๆ ซาลาเปาและขนมจีบที่วางอยู่ในจานเดียวกันทำให้ท้องของนางร้องจ๊อกๆ คงเป็นเพราะเมื่อวานใช้แรงไปมาก
“จินหาน! มากินข้าวได้แล้ว!” หลินซูเหยาเรียกเสียงดังพอให้ได้ยินไปถึงนอกกระท่อม
ประตูไม้เปิดออก เซียวจินหานเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มกว้าง แต่เมื่อเขาเห็นโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยจานชามหลากหลาย ดวงตาเขาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น ปากอ้าค้างเล็กน้อย
เขาเดินเข้ามาใกล้โต๊ะช้าๆ จ้องมองอาหารแต่ละอย่างราวกับเป็นขุมทรัพย์ล้ำค่า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจนแทบสั่น “เหยาเหยา! อาหารทั้งหมดนี่...ข้ากินได้ใช่ไหม?”
หลินซูเหยามองใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความสุขของเขา ก่อนจะยิ้มกว้าง“แน่นอนสิ! ข้าทำไว้ให้เจ้านี่นา มานั่งเถอะ”
เซียวจินหานนั่งลงตรงข้ามนาง มองอาหารตรงหน้าด้วยความปลาบปลื้ม “น่ากินจัง! เหยาเหยาเก่งจริงๆ!”
“กินเถอะ ระวังร้อนนะ” หลินซูเหยาตักข้าวใส่ชามเล็กส่งให้เขา ก่อนจะตักให้ตัวเองบ้าง
เซียวจินหานรับชามข้าวมาอย่างระมัดระวัง ดวงตาเขายังคงเบิกกว้าง มองทุกอย่างบนโต๊ะสลับไปมา ราวกับไม่รู้ว่าจะเริ่มกินอะไรก่อนดี
“ลองชิมซุปก่อนนะ” หลินซูเหยาเอ่ยพลางตักซุปใส่ชามเล็กให้เขา
เซียวจินหานรับชามซุปมาด้วยสองมือ เป่าเบาๆ ก่อนจะจิบอย่างระมัดระวัง พอรสชาติซุปแผ่ซ่านในปาก เขาก็ยิ้มกว้างทันที
“อร่อย! อร่อยมาก!” เขาอุทานด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะดื่มซุปอีกอึกใหญ่ “ซุปของเหยาเหยาอร่อยที่สุด!”
หลินซูเหยายิ้มอย่างพึงพอใจ “กินผักด้วยนะ ดีต่อร่างกาย”
เซียวจินหานพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เขาคีบผักคะน้าจากจานผัดมาเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
“เหยาเหยา...” เขากลืนอาหารในปากลงคอก่อนจะพูดต่อ “เจ้าเก่งเหลือเกิน อร่อยทุกอย่างเลย”
คำชมอย่างบริสุทธิ์ใจของเขาทำให้หลินซูเหยายิ้มอีกครั้ง “ข้าดีใจที่เจ้าชอบ”
ทั้งสองกินอาหารเช้าด้วยกันอย่างมีความสุข เซียวจินหานกินจนแก้มป่อง ท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่ได้กินของโปรด
ขณะกินอาหาร บางครั้งเซียวจินหานก็หยุดและพูดกับตัวเองเบาๆ “อร่อย...ข้าไม่เคยได้กินของอร่อย...” หรือบางครั้งก็หัวเราะคิกคักโดยไม่มีเหตุผล
“จินหาน ชอบกินอะไรมากที่สุด?” หลินซูเหยาถามอย่างอ่อนโยน
เซียวจินหานหยุดเคี้ยว คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างตื่นเต้น “ซาลาเปา! หวานดี! แล้วก็...ซุป! ร้อนๆ! แล้วก็...ทุกอย่างที่เหยาเหยาทำข้าชอบหมดเลย”
หลินซูเหยาอดยิ้มไม่ได้ “งั้นข้าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้เจ้ากินทุกวัน”
“ทุกวัน?” เซียวจินหานเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “จริงหรือ? เหยาเหยาจะอยู่กับจินหาน...ทุกวันเลยหรือ?”
คำถามนั้นทำให้หลินซูเหยาชะงัก นางรู้ว่าเซียวจินหานถูกทอดทิ้งมาตลอด แม้แต่ครอบครัวของเขาเอง ก็มองว่าเขาเป็นภาระ
“ใช่ จินหาน ข้าจะอยู่กับเจ้า” นางตอบอย่างหนักแน่น
ดวงตาของเซียวจินหานเริ่มฉ่ำด้วยน้ำตา เขาวางตะเกียบลง มือสั่นเทาเล็กน้อย “สัญญานะ? เหยาเหยาสัญญาจะไม่ทิ้งจินหาน?”
“ข้าสัญญา” หลินซูเหยาพูดพลางเอื้อมมือไปจับมือเขา “ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า”
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเซียวจินหาน แต่เขากลับยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างบริสุทธิ์ “จินหาน...จินหานดีใจ” เขาพูดพลางเช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อ
“กินต่อเถอะ” หลินซูเหยาพูดพร้อมคีบเนื้อหมูให้เขา
เซียวจินหานพยักหน้าและกลับมากินอาหารต่อ แต่คราวนี้เขากินด้วยความสุขมากขึ้น บางครั้งเขาก็มองหลินซูเหยาและยิ้มให้นาง ราวกับต้องการยืนยันว่านางยังอยู่ตรงนั้นจริงๆ
แต่แล้วความสุขของพวกเขาก็ต้องหยุดลง เพราะเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงของจินฟาง
“ซูเหยา! เจ้าอยู่หรือไม่? เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
หลินซูเหยามองไปทางประตูด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินไปเปิดประตู เมื่อประตูเปิดออก จินฟางและเซียวลี่เหมยก็ก้าวเข้ามาโดยไม่รอคำเชิญ
“ข้ามาดูว่าเจ้าทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ไปช่วยงานที่บ้าน!” จินฟางพูดเสียงดัง ก่อนจะชะงักเมื่อสายตาของนางเหลือบไปเห็นอาหารมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะ
เซียวลี่เหมยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อ้าปากค้างเช่นกัน “นี่มัน…อาหารพวกนี้มาจากไหน? ทำไมพวกพี่ถึงมีของดี ๆ แบบนี้กิน?”
จินฟางรีบหันมามองหลินซูเหยา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “พวกเจ้ามีอาหารดี ๆ แบบนี้แต่ไม่แบ่งไปให้ข้าบ้าง! เมื่อวันก่อนยังให้จินหานมาขอข้าวที่บ้านข้าอยู่เลย!”
หลินซูเหยาหัวเราะเยาะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น้ำข้าวต้มกับเศษผักดองชามนั้นนะหรือ? ข้าไม่ถือว่าท่านจะมีบุญคุณอะไรกับพวกเราเลยแม้แต่น้อย”
จินฟางหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ “เจ้า! เจ้านี่มันปากดีนัก! ข้าคือแม่ของจินหาน เจ้าเป็นเพียงลูกสะใภ้ เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดกับข้าแบบนี้!”
หลินซูเหยายืดหลังตรงขึ้น สายตาเย็นชาจนน่าขนลุก “สิทธิ์? ท่านพูดถึงสิทธิ์งั้นหรือ? แล้วท่านมีสิทธิ์อะไรที่จะเรียกตัวเองว่าแม่ของจินหาน? คนที่ทิ้งลูกให้อยู่ในกระท่อมเก่าๆ ปล่อยให้เขาเรร่อนหาอาหารกินเอง เขาไปขอข้าวให้ข้าแค่ชามเดียวท่านก็ตวาดเขาราวกับเขาเป็นขอทาน!”
“เจ้า!” จินฟางชี้หน้า มือสั่นด้วยความโกรธ “เจ้ากล้า...”
“ทำไมข้าจะกล้า!...ข้ากล้าพูดมากกว่านี้อีก ท่านไม่สมควรเป็นแม่คน ท่านทำกับจินหานเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้า ไม่ใช่ลูกในไส้! ข้าเห็นแผลที่แขนเขา แผลที่หลังเขา... ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าใครทำ?”
เซียวลี่เหมยพยายามแทรกขึ้น “พี่สะใภ้ ท่านไม่ควร...”
“และเจ้า!” หลินซูเหยาหันไปทางเซียวลี่เหมย “ก็ชอบตวาดดูถูกพี่ชายตัวเอง ทั้งที่เขาบกพร่องทางสติปัญญา...เจ้าไม่เคยสงสารเขาบ้างหรือ?”
“ก็เขาไม่ใช่พี่ชายของข้านี่! ท่านพ่อเก็บเขามาเลี้ยง ถ้ารู้ว่าเขาเป็นแบบนี้ พวกเราคงไม่ต้องเปลืองข้าวเปลืองน้ำเลี้ยงดูเขา!”
เซียวลี่เหมยตะคอกเสียงดังจนหลินซูเหยาต้องชะงักไปชั่วขณะ
หลินซูเหยาจ้องมองเซียวลี่เหมยด้วยสายตาเย็นเยียบ ดวงตากลมโตของนางเต็มไปด้วยความโกรธที่ยากจะระงับ “เจ้ากล้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร! ไม่ใช่พี่ชายของเจ้างั้นหรือ? ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับเจ้า แต่เขาก็เป็นคนในครอบครัวของเจ้า!”
เซียวจินหานที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างกำแน่นจนสั่น ราวกับพยายามกลั้นน้ำตาไว้ แต่หลินซูเหยาไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ นางก้าวเข้าไปยืนประจันหน้ากับเซียวลี่เหมย “เจ้ารู้ไหมว่าคำพูดของเจ้ามันโหดร้ายแค่ไหน? คนที่เจ้ากำลังดูถูกอยู่นี้ก็มีหัวใจ มีความรู้สึกเหมือนกับเจ้า! เจ้ากล้าพูดว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ได้อย่างไร ทั้งที่เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับความรักจากพวกเจ้า!"
เซียวลี่เหมยเบือนหน้าหนีอย่างไม่ยี่หระ “ข้าพูดความจริง! เขาเป็นตัวถ่วงของครอบครัว! ถ้าไม่มีเขา ครอบครัวเราคงจะดีกว่านี้!”
“งั้นหรือ!” หลินซูเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก นางหันไปมองจินฟางที่ยืนเงียบอยู่ “งั้นต่อไปนี้ ข้าจะเป็นคนดูแลจินหานเอง ในเมื่อพวกท่านไม่ต้องการเขา ก็อย่ามาวุ่นวายกับพวกเราอีก!”
จินฟางใบหน้าแดงก่ำ แต่ยังคงกัดฟันพูดออกมา “ดูสภาพบ้านของพวกเจ้า! กระท่อมเก่าๆ แถมจะพังลงมาแล้ว เงินก็ไม่มี ที่ดินทำกินก็ไม่มี แล้วเจ้าจะดูแลมันได้อย่างไร? เจ้าแต่งกับมันเพราะความโง่เขลาของเจ้าเอง! ตอนนี้มาทำตัวเป็นวีรสตรี คิดว่าพวกเจ้าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้งั้นหรือ?”
หลินซูเหยาหัวเราะเยาะ “ทำไมข้าจะทำไม่ได้? ข้าจะทำให้พวกท่านเห็น! ออกไปจากบ้านของข้าได้แล้ว และอย่ามาเหยียบที่นี่อีก!”
จินฟางเบะปากก่อนจะพูดว่า “ข้าก็ไม่อยากมาเหยียบที่นี่อีกเหมือนกัน!” ก่อนที่พวกนางจะสบัดตูดเดินออกจากกระท่อมไป
เมื่อประตูปิดลง ความเงียบก็ครอบคลุมกระท่อมเล็กๆ หลินซูเหยายืนนิ่ง มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความโกรธยังคงเดือดพล่านในอก ขณะที่เซียวจินหานนั่งตัวสั่นอยู่มุมห้อง มือกอดเข่าแน่น
“จินหาน...” หลินซูเหยาค่อยๆ เดินเข้าไปหา น้ำเสียงอ่อนลงทันที “พวกเขาไปแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ”
เซียวจินหานไม่ตอบ เขายังคงก้มหน้า ริมฝีปากสั่นระริก
หลินซูเหยาคุกเข่าลงตรงหน้าเขา มือบางค่อยๆ แตะที่ไหล่ของเขาอย่างอ่อนโยน “จินหาน... เจ้าไม่ต้องกลัวแล้วนะ”
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น น้ำตาก็ไหลอาบแก้ม ดวงตาเขาแดงก่ำด้วยความเจ็บปวด “จินหาน... จินหานไม่ใช่... ไม่ใช่ขอทาน” เขาพูดติดขัด มือกำแน่น “จินหานไม่ใช่... ตัวถ่วง”
หัวใจของหลินซูเหยาบีบรัดเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นางรู้ดีว่าเขาได้ยินทุกคำพูดและเข้าใจความหมาย แม้ว่าชาวบ้านมักจะคิดว่าเขาโง่เขลาเพราะความบกพร่องทางสติปัญญา แต่นางรู้ดีว่าเขาเข้าใจความเจ็บปวดได้เช่นเดียวกับคนอื่น
“ใช่ เจ้าไม่ใช่ขอทาน” นางกระซิบ มือบางเช็ดน้ำตาให้เขา “และเจ้าไม่ใช่ตัวถ่วงของใคร จินหานเป็นคนดี เป็นสามีที่ดีของข้า”
เซียวจินหานมองนางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย “แต่ท่านแม่...ท่านแม่บอกว่า... จินหานไร้ประโยชน์” เขาพยายามพูด แต่คำพูดติดขัด “ลี่เหมยบอกว่า... จินหานเปลืองข้าว... เปลืองน้ำ”
หลินซูเหยาสั่นศีรษะอย่างแรง พร้อมกับจับมือเขาไว้แน่น “พวกเขาพูดผิด”
เซียวจินหานมองมือของทั้งสองที่ประสานกันอยู่ “จินหาน... ทำให้เหยาเหยา... ลำบาก” เขาพูดเสียงสั่น “ครอบครัวเหยาเหยา...โกรธ...บ้านไม่ดี...ไม่มีเงิน...”
“ข้าไม่สนใจ” หลินซูเหยาตอบอย่างหนักแน่น “ข้าไม่ต้องการความร่ำรวย ไม่ต้องการบ้านหลังใหญ่ และข้าจะทำให้ชิวิตของพวกเราดีขึ้นกว่านี้”
น้ำตาของเซียวจินหานยังคงไหลไม่หยุด แต่ริมฝีปากของเขาเริ่มคลี่ยิ้มเล็กน้อย “จินหาน...รักเหยาเหยา” เขาพูดเสียงแผ่ว “จินหาน...จะทำงานหนัก...จะหาเงิน...จะสร้างบ้านใหม่...ให้เหยาเหยา”
หัวใจของหลินซูเหยาอ่อนยวบ นางสวมกอดเขาไว้แน่น จินหานยิ้มกว้างเหมือนเด็กน้อย เขายกมือลูบหลังของนางเบาๆ เป็นการปลอบใจ
