บทที่ 14
ตระกูลเซี่ยมีแม่ทัพสองคน ประชาชนของแคว้นว่านฉีต่างก็รู้
ตอนนี้แม่ทัพหนุ่มของตระกูลเซี่ยได้กลับสู่เมืองหลวง ประชาชนจึงให้ความสนใจเป็นธรรมดา
ไม่เพียงแต่ประชาชนให้ความสนใจเท่านั้น แต่สายตาทั่วทั้งเมืองหลวงมองมาที่นี่
จวนแม่ทัพ เรือนของเซี่ยเหวินอู่
ชายหนุ่มสง่างามที่แต่งตัวแบบนักปราชญ์นั่งอยู่หน้ากระดานหมากรุก มือจับหมากสีดำอย่างสง่างาม สายตาเอ้อระเหยอย่างเย็นชา
ด้านหลังชายหนุ่มมีหมอหลวงยืนตัวสั่นอยู่สามคน
สิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวคือชายหนุ่ม และแผลที่แขนของชายหนุ่ม
“ท่านแม่ทัพเซี่ย ข้าแนะนําให้ตัดแขนเถิด อาการบาดเจ็บของท่านรุนแรงเกินไป พิษได้แทรกซึมเข้าไปในกระดูกแล้ว ถ้าตัดแขนไม่ทันเวลา เกรงว่าจะอันตรายถึงชีวิตขอรับ!” หนึ่งในหมอหลวงอาวุโสเอ่ย
บาดแผลขนาดเท่าชามที่ไหล่ลึกจนมองเห็นกระดูก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนเห็นรอยสีดำจางๆ บนกระดูกชัดเจน ว่าถูกพิษ!
คุณชายสง่างามคนนี้คือแม่ทัพเซี่ยเหวินอู่ที่ทำให้ศัตรูจากต่างแดนหวาดกลัว!
มือที่ถือหมากสีดำของเซี่ยเหวินอู่ชะงัก รังสีสังหารเย็นยะเยือกรอบตัว ซึ่งห่างไกลกับการแต่งตัวแบบนักปราชญ์มาก “เจ้าคิดว่าศัตรูจากต่างแดนบุกเข้ามาหรือ?”
หมอหลวงอาวุโสตกใจจนตัวสั่น “ข้าไม่มีเจตนาเช่นนั้น ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้!”
ชายหนุ่มสูงศักดิ์ที่นั่งตรงข้ามเซี่ยเหวินอู่ขมวดคิ้ว “เพราะมีเหวินอู่เฝ้าชายแดน ศัตรูต่างแดนจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ เป็นเวลาหลายปี หากเหวินอู่ตัดแขนไป จะทำให้ศัตรูต่างแดนบุกเข้ามา หากข้าส่งหมอหลวงอย่างพวกท่านไปนำรบศัตรูเป็นอย่างไร?”
“ไม่กล้า ไม่กล้าพะยะค่ะ! ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว” หมอหลวงอาวุโสทั้งสามคนรีบคุกเข่าลง
เซี่ยเหวินอู่อดขมวดคิ้วไม่ได้ เลยโบกมือให้หมอหลวงเหล่านั้นออกไป
ขณะนั้นเองก็มีคนเข้ามา คุกเข่าลงข้างหนึ่ง “รายงานท่านแม่ทัพ สถานการณ์ของพระชายาหานสืบเรียบร้อยแล้วขอรับ...”
เซี่ยเหวินอู่เลิกคิ้ว น้ำเสียงราบเรียบทำให้ผู้คนไม่สามารถต่อต้านได้ “สถานการณ์ปัจจุบันของน้องสาวข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
บ่าวตัวสั่น ไม่กล้าเอ่ยปาก ยื่นฎีกาในมือไปข้างหน้า “เรียนท่านแม่ทัพ ทุกอย่างอยู่ในนั้นแล้วขอรับ”
เป็นที่ทราบกันดีว่าคนที่รักและเอ็นดูพระชายาหานมากที่สุดคือแม่ทัพเซี่ยที่อยู่ตรงหน้า แต่มีเพียงคนในจวนเท่านั้นที่รู้ว่าแม่ทัพเซี่ยรักและเอ็นดูพระชายาหานมากเพียงใด!
ครั้งหนึ่งพระชายาหานเห็นของชิ้นหนึ่ง เป็นของคุณชายอีกคนในเมืองหลวง พระชายาหานจึงแย่งมา ส่วนคุณชายคนนั้นก็มีอารมณ์ร้อนเช่นกัน เลยตบหน้าพระชายาหาน ปรากฏว่าแม่ทัพเซี่ยทราบเรื่อง จึงตรงไปที่จวน ทำร้ายคุณชายคนนั้นจนคุกเข่าขอความเมตตา และคำนับให้พระชายาหานสามครั้งต่อหน้าผู้คนถึงจะจบ
หลังจากนั้น แม่ทัพเซี่ยก็จ่ายค่าเสียหายให้กับคุณชายคนนั้น ตามมูลค่าของสิ่งนั้น
ตระกูลของคุณชายคนนั้นไม่ธรรมดาเลยในเมืองหลวง ตระกูลของเขาก็เคยฟ้องไปทั่วทุกที่ แต่ก็ไร้ผล
สถานการณ์ของพระชายาในปัจจุบัน แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง แต่ก็ไม่กล้าพูดให้แม่ทัพเซี่ยฟัง!
เซี่ยเหวินอู่อ่านเล็กน้อย สีหน้าพลันมืดลงทันที ตบจนกระดานหมากรุกพลิกคว่ำ บาดแผลบนไหล่สั่นสะเทือนจนกลายเป็นสีแดงฉาน “เตรียมม้า ข้าจะไปจวนอ๋องหาน!”
...
จวนอ๋องหาน
เซี่ยเหยาจัดการกับอาการทั้งหมดของลุงอวิ๋นเสร็จ หลังจากตรวจชีพจรยืนยันว่าอาการของลุงอวิ๋นคงที่แล้ว นางก็เอนกายนอนลงบนโต๊ะข้างเตียง
ไม่ใช่ว่านางไม่อยากลุกขึ้น แต่เพราะลุกไม่ขึ้น
อยู่ท่าเดิมนานเกินไปจนชา
ด้านนอก ตานฉวนระงับความอดทนของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ตะโกนเข้ามาข้างในว่า “พระชายา อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซี่ยเหยาลองขยับตัว แต่ความรู้สึกชาทำให้นางขบฟัน และพรู่ลมหายใจออก “เข้ามาสิ”
ตานฉวนได้ยิน จึงรีบวิ่งเข้ามาทันที
จื่อหลิงไม่ได้จากไป เลยเข้าไปในห้อง
ตานฉวนรีบมาที่ข้างเตียง และแน่ใจว่าอาการของท่านพ่อทรงตัวแล้วจริงๆ เขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
ก่อนหน้านี้ในเรือน เขาเตรียมใจไว้สำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว โชคดีที่พ่อยังทนไหว
มองเซี่ยเหยาด้วยสีหน้าซับซ้อน กัดฟัน และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ข้าต้องขอบคุณพระชายาที่ช่วยชีวิตแทนท่านพ่อด้วย!”
ไม่คิดว่าพระชายาจะมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม จนท่านพ่อรอดมาได้จริงๆ
เซี่ยเหยามองไปรอบๆ แล้วไม่ตอบสนอง แต่สั่งว่า “สองสามวันมานี้ห้ามลุงอวิ๋นกินอะไรทั้งนั้น แม้แต่น้ำก็ดื่มไม่ได้! นอกจากเวลามื้ออาหาร เวลาอื่นๆ ข้าจะมาเป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ลุงอวิ๋นไม่สามารถใช้ผงยาใดๆ ได้ ยาทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้า”
“ไม่ให้กินไม่ให้ดื่ม?” ตานฉวนขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าจะให้ท่านพ่ออดตายหรือ?
เซี่ยเหยาหลับตาก็ยังรู้ถึงความระแวงของตานฉวน จึงเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ข้าเป็นคนช่วยลุงอวิ๋นไว้ หากข้าอยากให้เขาตาย ข้าไม่ช่วยก็ได้ ไม่ต้องลําบากถึงขนาดนี้”
ตานฉวนพยักหน้าอย่างลังเล มองพ่อที่ยังไม่ฟื้นอยู่บนเตียง “ท่านพ่อของข้าจะฟื้นเมื่อไหร่?”
“เร็วสุดก็สองเค่อ ช้าสุดครึ่งชั่วยาม” เซี่ยเหยาพูดจบ ก็รู้สึกว่าอาการชาในร่างกายได้จางหายไปแล้ว จึงเดินออกไป
หางตากวาดไปเห็นจื่อหลิง นางจึงเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้หยุดเดิน
เมื่อเซี่ยเหยาจากไป จื่อหลิงก็ระงับความตกใจในใจลง
พระชายารู้เรื่องการแพทย์ และยังรักษาโรคที่แม้แต่หมอหลวงก็จนปัญญาอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก!
ถ้าบอกว่าครั้งแรกคือเรื่องบังเอิญ แต่พระชายาพาลุงอวิ๋นกลับมาจากยมบาลได้สองครั้งแล้ว!
เรื่องนี้ต้องรายงานพระชายารอง!
“ตานฉวน เจ้าดูแลลุงอวิ๋นให้ดี” จื่อหลิงพูดจบ ก็หันหลังรีบจากไป
ตานฉวนพยักหน้าส่งๆ จิตใจของเขาอยู่ที่ท่านพ่อที่ยังไม่ฟื้น
...
เรือนจื่อเยียน
สีหน้าของซ่างกวนเยว่มืดมน และขมวดคิ้ว
นางคิดไม่ถึงว่า เซี่ยเหยาจะรู้เรื่องการแพทย์ และรู้ลึกถึงขนาดนี้! เก่งกว่าหมอหลวงอาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่ทักษะทางการแพทย์ไม่ธรรมดา!
เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องที่เซี่ยเหยาวางยาพิษนางโดยไร้ร่องรอยก็สมเหตุสมผล
การแพทย์และพิษเชื่อมโยงกัน เซี่ยเหยาต้องการลอบวางยาพิษนาง โดยที่นางไม่มีทางต่อต้าน!
“จื่อหลิง ไปเตรียมเครื่องเงินและชุดน้ำชาให้ข้า อุปกรณ์กินข้าว ทั้งหมดก็ต้องเป็นสีเงินเท่านั้น นอกจากนี้ อาหารที่มาจากข้างนอกต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด” นางไม่สามารถรอให้เซี่ยเหยาวางยาพิษนางได้ จึงต้องเตรียมการล่วงหน้า
จื่อหลิงพยักหน้า กำลังจะหันหลัง
“อีกอย่าง เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานให้ท่านอ๋องทราบ ถ้าท่านอ๋องถาม ก็ปฏิเสธว่าอาจจะเป็นหมอหลวงที่รักษาให้หาย” ซ่างกวนเยว่รู้ว่าถึงเรื่องนี้จะปิดไม่ได้ แต่ปิดได้อีกหนึ่งวันก็ยังดี
ยิ่งเซี่ยเหยารู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดึงดูดความสนใจของท่านอ๋องมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้ เซี่ยเหยายังรักษาลุงอวิ๋นให้หายได้ เกรงว่าตานฉวนจะไม่อยู่ข้างนางแล้ว ยังต้องวางแผนการใหม่! เรื่องนี้ยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
“อีกอย่าง ออกจากจวนไปหาพ่อครัวฝีมือดีสักคน แล้วเชิญมาที่จวน เพื่อสอนข้าทำอาหารด้วย” ซ่างกวนเยว่เอ่ย
จื่อหลิงอึ้งไปพักหนึ่ง พระชายารองต้องการเรียนทําอาหารหรือ?
...
เรือนฝูอวิ๋น
จื่อฉิงอยู่ในเรือนเหมือนมดบนกระทะร้อน ร้อนใจจนกระวนกระวายแต่หาทางออกไม่ได้
นางกลับมาก็ไม่เห็นพระชายา แต่ก็ไม่กล้าออกไปตามหา กลัวว่าจะมีคนจับได้ว่าพระชายาแอบออกไปเดินเพ่นพ่านทั้งที่ถูกกักบริเวณ จึงทำได้เพียงเฝ้ารออยู่ในเรือน
พอเห็นพระชายาเข้าเรือนมา ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที “พระชายา ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที มีคนรอท่านอยู่ในห้องเพคะ!”
