บทที่ 4
ซินเยว่พูดด้วยความโมโห เป็นถึงรองเจ้ากรมสำนักตรวจการแต่โง่เง่าไม่ทันมารยาสาไถของสตรี จะให้ยอมรับว่าเป็นพ่อของนางได้เช่นไรกัน ซินเยว่แอบหยิกต้นขาตนเองให้มีน้ำตา เพื่อเรียกความสงสารจากมารดา
“แม่หมดรักบิดาของเจ้า ตั้งแต่แม่รู้ว่ามีเจ้าแล้วล่ะความรักของแม่มีให้เจ้าเท่านั้น เจ้าเป็นทุกสิ่งในชีวิตของแม่”
“ท่านแม่ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราออกไปหาที่อยู่ในเมืองอื่นดีหรือไม่เจ้าคะ” ซินเยว่ยังคงหยิกขาตนเองให้มีน้ำตาต่อไป
“ที่เจ้าพูดมาหมายความว่า...” อันที่จริงนางก็เริ่มคิดตามเมื่อได้ยินคำถามของบุตรสาวแล้ว นางเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่เช่นกัน ที่ผ่านมานางช่างโง่งมทนอยู่มาได้อย่างไรตั้งหลายปี
“ข้าอยากให้ท่านแม่ตัดขาดกับบุรุษผู้นั้นและออกไปจากจวนแห่งนี้ เพื่อเริ่มต้นใหม่นั่นถึงจะเป็นการปกป้องข้า ขอท่านแม่โปรดเชื่อใจข้าพวกเราอยู่ได้ข้าจะหาเงินเลี้ยงดูท่านแม่เองเจ้าค่ะ” พร้อมทำท่าตบไปที่หน้าอกของตนเอง และจ้องมองมารดาที่มีสีหน้ากังวลนิดหน่อย
ลี่หลินกลั้นขำกับท่าทางจริงจังของซินเยว่ ที่ดูจะห่างไกลจากคำว่าสตรียิ่งนัก “เหตุใดเจ้าถึงมีท่าทีมั่นใจเช่นนั้นเล่าเยว่เอ๋อร์”
“พวกเราจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร จะไปอยู่ที่ไหน สินเดิมที่มีติดตัวของแม่ก็ขายออกไปหมดแล้ว รายได้ที่มีอยู่ก็มาจากการปักผ้าขาย แต่มันคงไม่พอเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางของพวกเราหรอกนะ” ลี่หลินบอกถึงปัญหาเรื่องเงินทองกับบุตรสาว
ซินเยว่จำได้ว่าเงินทองที่ได้ จากการทยอยขายสินเดิมของมารดา หมดไปตั้งแต่นางอายุได้ห้าหนาวแล้ว ส่วนที่ใช้หลังจากนั้นได้มาจากการปักผ้าของมารดา ซึ่งมีเสี่ยวหลานที่แอบเอาไปขายในตลาด
“การจะออกจากที่นี่อย่างไรให้เป็นหน้าที่ของข้า ส่วนจะไปอยู่ที่ไหนข้าไว้ใจท่านแม่ เพราะเมื่อก่อนท่านแม่ก็เดินทางติดตามท่านตา ไปค้าขายต่างเมืองมิใช่หรือเจ้าคะ น่าจะพอมีเมืองที่การค้าขายคึกคักพอสมควร แม้ไม่อาจเทียบกับเมืองหลวงแต่การค้าก็ไม่ซบเซาจนเกินไปเจ้าค่ะ”
ลี่หลินรู้สึกหนักใจกับคำถามนี้ของซินเยว่ เพราะเวลาที่ผ่านมานางไม่เคยรู้ข่าวคราวว่า หัวเมืองที่เคยไปเป็นเช่นไรในยามนี้ “แม่เองมาอยู่ที่จวนแห่งนี้สิบปีแล้ว เมืองที่เคยไปอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เช่นนั้นแม่จะให้เสี่ยวหลานออกไปถามข่าวของเมืองต่าง ๆ ให้เจ้าก็แล้วกัน”
หากเสี่ยวหลานได้ยินนางคงจะดีใจมาก เพราะนี่เป็นงานถนัดในการสืบข่าวหลอกถามพูดคุยกับผู้คน การออกไปแต่ละครั้งของเสี่ยวหลานมีครั้งไหนบ้างที่นางทำไม่สำเร็จ
“เจ้าค่ะท่านแม่ ข้ายังมีอีกเรื่องที่อยากบอกท่าน เรื่องนี้จะมีเพียงเราสองคนเท่านั้นที่รู้เจ้าค่ะ ในตอนที่ข้าหลับไปนั้นดวงจิตของข้าได้หลุดออกจากร่าง แต่โชคดีที่ได้ท่านเทพช่วยไว้ ท่านเทพดูแลดวงจิตของข้าอย่างดี
ทั้งยังอบรมสั่งสอนฝึกวิชาความรู้ให้มากมาย ข้านอนหลับไปสามวันแต่เวลาที่ดวงจิตข้าไปฝึกกับท่านเทพกลับเป็นเวลาถึงสามปี เมื่อดวงจิตของข้ากลับมาเข้าร่างอีกครั้งทำให้ความคิดของข้า ไม่ใช่เด็กอายุสิบหนาวแล้ว และท่านเทพยังได้มอบของวิเศษให้ข้า นำติดตัวมาหลายอย่างด้วยเจ้าค่ะ” ซินเยว่แสร้งหลับตาและแบมือออก นางนึกถึงกระจกที่พับได้ชั่วพริบตามันก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
ซินเยว่แอบหรี่ตามองมารดา ที่กำลังตกใจอ้าปากค้างอยู่ข้าง ๆ ตนเอง ก็แทบกลั้นขำไว้เกือบไม่ไหว แต่นางจำเป็นต้องนิ่งเข้าไว้เพื่อให้มารดาเชื่อว่า สิ่งที่นางพูดออกมาล้วนมิใช่เรื่องโกหก
ภายหลังเมื่อลี่หลินหายจากอาการตกตะลึง กับสิ่งที่ซินเยว่นำออกมาให้ดูนั้น นางก็เอาแต่มองตนเองในกระจก หันซ้ายแลขวาลูบใบหน้าที่ซูบผอม และผิวที่แห้งกร้านเพราะขาดการบำรุงที่ดี
แต่ยังคงมีความงดงามถ้าได้รับการบำรุงที่ดี ต้องกลับมางดงามเช่นเดิม ด้วยปีนี้ลี่หลินเองเพิ่งมีอายุยี่สิบหกปี หากเทียบกับยุคปัจจุบันที่ซินเยว่ได้จากมา มารดาของนางยังอยู่ในวัยสาวสวย จากนี้ไปซินเยว่จะทำการแปลงโฉมให้มารดางดงามกว่าผู้ใด