บทที่ 5 ผีหลอกกลางวัน (2/2)
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ลี่ถังเดินถือตะกร้าผักและเนื้อสัตว์ที่มีเพียงหยิบมือเดียวเข้ามาด้านใน เดิมทีนางไม่ค่อยออกไปจ่ายตลาดและซื้อของดี ๆ กลับมาเท่าใดนัก ด้วยเพราะงบที่มีจำกัด
"อาเชา ได้ทีเจ้าเอาใหญ่เชียวนะ" ลี่ถังหยอกล้อ
หยางเชารีบสับเท้าไปยืนขนาบข้างร่างบอบบาง กระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายยิก ๆ ราวต้องการความช่วยเหลือ
ซ่งซูหลานหัวเราะร่วน "เอาน่าแม่บ้านลี่ เด็กน้อยก็พูดไปตามประสามิใช่หรือ"
ลี่ถังยิ้มและส่ายศีรษะ "คุณหนู ข้าเห็นท่านเตรียมอุปกรณ์เข้าป่า ต้องการทำสิ่งใดหรือ ให้ข้าช่วยท่านหรือไม่"
ซ่งซูหลานมองเด็กน้อยบนอ้อมแขนก็พลอยส่ายศีรษะ "ไม่ต้องหรอก ท่านอยู่ดูลูกน้อยเถิด จัดแจงที่นี่ให้เรียบร้อยน่าอยู่ก็พอ เรื่องนั้นข้าจัดการเองได้ สบายมาก"
"พี่ฉาวข้าไปด้วย"
ชายเสื้อของนางยังคงกระตุกไม่หยุด ซ่งซูหลานลดมองหยางเชา พลางวกสายตากลับไปยังลี่ถังเพื่อเป็นเชิงขออนุญาต ลี่ถังผ่อนหายใจ นางพยักหน้าตอบรับ
ลี่ถัง "อาเชา หากเจ้าติดตามคุณหนูเข้าไปในป่าก็อย่าซนเดินเล่นสุ่มสี่สุ่มห้าเล่า อย่าสร้างความลำบากใจให้คุณหนู"
เด็กน้อยแย้มยิ้มลิงโลด "อาเชาเข้าใจแล้วขอรับ อาเชาจะไม่ดื้อ ไม่ชน"
"เช่นนั้นข้าจะทำอาหารให้กินก่อนออกไปด้านนอก ป่าไผ่แห่งนี้แม้จะมีทางเดินโล่ง ทว่าช่างคดเคี้ยวนัก ท่านเองก็ระวังตัวด้วยเล่า"
ซ่งซูหลานพยักหน้า "เข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านมาก"
หลังจากทานอาหารกันเรียบร้อย ซ่งซูหลานก็แต่งกายด้วยอาภรณ์ทะมัดทะแมงเฉกเช่นบุรุษหน้าละอ่อนผู้หนึ่ง เสื้อผ้าสีเก่าซีดนี้ช่างดูไม่เหมาะกับสตรีใบหน้าสะสวยเท่าใด แม้ถูกบดบังด้วยอาภรณ์ไม่อภิรมย์ทว่าใบหน้าและผิวพรรณของนางกลับผุดผาดยิ่ง
หนึ่งสตรีร่างบอบบางแบกตะกร้าสานที่มีอุปกรณ์เดินป่า และขนมทานเล่นสำหรับเด็กแสบสะพายอยู่บนหลัง ซ่งซูหลานจูงมือเด็กชายตัวจ้อยขนาบข้างเยื้องย่างหายลับเข้าไปในป่าไผ่ ลี่ถังที่มองตามก็ให้รู้สึกใจหวิว ๆ รู้สึกมีลางสังหรผุดขึ้นอย่างน่าประหลาด
.
.
"อาเชา เหนื่อยหรือไม่ ให้ข้าอุ้มไหม"
หยางเชาส่ายศีรษะ "ไม่ขอรับ พี่ฉาวแบกของหนักแล้ว ต้องมาแบกข้าอีกคงเหนื่อยแย่"
"เด็กดี เจ้าช่างรู้ความนัก"
ทั้งสองเดินเคียงกันไปเรียบเรื่อย ยามนี้แสงตะวันเริ่มตรงศีรษะเสียแล้ว ซ่งซูหลานเองก็ไม่อยากออกไปไกลตัวเรือนมากนัก จึงเลือกไผ่ต้นสูงที่มีขนาดพอเหมาะ และอยู่ไม่ไกลจากลำธารที่ตนมักมาตักน้ำ นางวางสัมภาระลงก่อนหยิบมีดปังตอขึ้นกระชับถือ
"อาเชานั่งรอพี่สาวอยู่ตรงนี้ประเดี๋ยวนะ"
หยางเชาหยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นหย่อนสะโพกลงนั่งอย่างเชื่อฟัง ขาเล็กกวัดแกว่งไปมากลางอากาศ ซ่งซูหลานเดินเข้าใกล้ไผ่สูงต้นหนึ่ง แล้วจึงลงมือฟันฉับราวห้าหกครั้ง โชคดีนักที่มีดมีความคม นางจึงสามารถตัดต้นไผ่ได้อย่างง่ายดาย ขณะทำก็ชำเลืองมองเด็กน้อยตาใสแป๋วไปด้วย อีกฝ่ายนั่งจ้องนางตาแทบไม่กะพริบ
ซ่งซูหลานเลือกต้นไผ่ขนาดพอเหมาะไปเรื่อย ๆ เหลือเพียงต้นสุดท้ายแล้ว แต่ดูเหมือนจะอยู่ลึกไปเสียหน่อย นางจึงตะโกนเพื่อบอกหยางเชา "อาเชา อย่าขยับไปไหนนะ พี่สาวจะตัดต้นที่อยู่ตรงโน้นก่อน"
หยางเชาพยักหน้า ตะโกนตอบกลับ "ขอรับพี่ฉาว อาเชาจะไม่ไปไหน จะรอพี่ฉาวตรงนี้"
เมื่อสบายใจแล้ว ซ่งซูหลานก็เดินหายวับเข้าไปด้านใน ทว่ามิได้ห่างจากหยางเชามากนัก ก่อนจะลงด้ามคมกริบของมีดพร้าไปยังลำไผ่ สายตาของนางกลับสังเกตเห็นบางสิ่งเข้าเสียก่อน
"เอ๊ะ...อะไรสีแดง ๆ"
ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนของเหลวสีแดงเข้มด้วยความระแวดระวัง ปลายจมูกเชิดรั้นสูดดมฟุตฟิต นัยน์ตาดอกท้อเบิกกว้างตื่นตระหนก "ละ...เลือด!!"
อยู่ ๆ ข้อเท้าของนางก็คล้ายมีบางอย่างคว้าเอาไว้ ซ่งซูหลานตัวแข็งทื่อ อกด้านซ้ายเต้นโหมระทึกราวกลองถูกตีกระหน่ำ
"ชะ...ช่วยด้วย..."
ฮื่อ...เสียงอะไร เจ้าป่าเจ้าเขา หนูขอโทษ กลางวันแสก ๆ ท่านก็จะหลอกกันหรือ
"ชะ...ช่วย...ด้วย..."
อีกแล้ว ฮื่อ
ซ่งซูหลานกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ จากนั้นข่มใจลดมองมือที่สัมผัสข้อเท้าของตน ฝ่ามือกว้างชุ่มโชกไปด้วยโลหิต ยิ่งส่งผลให้นางแทบหน้ามืดล้มพังพาบ
ทั่วทั้งใบหน้าคนเบื้องล่างเปื้อนเขรอะของเหลวสีแดงเข้มและดินโคลนแห้งกรังจนดูไม่ออกว่านี่มนุษย์หรือตัวอะไรกันแน่ ซ่งซูหลานตกใจดีดเท้ากระโดดโหยง อีกฝ่ายฟุบหน้าแนบลู่ลงบนพื้นดิน ทว่าฝ่ามือยังขยับไหวควานไปมาสะเปะสะปะ
"เหวอ...ผีหลอก!!"
ชายผู้นั้นแหงนหน้าขึ้นแช่มช้า รวบรวมแรงที่หลงเหลือเฮือกสุดท้ายเอ่ยผะแผ่ว "ชะ...ช่วยข้าที"
ซ่งซูหลานกระชับมีดพร้าในมือแน่น เหงื่อกาฬแตกพลั่กไปทั่วกรอบหน้างาม ร่างบางยอบกายลงเนิบนาบ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหมดสติไปแล้วก็พลันถอนหายใจโล่งอก จากนั้นใช้ปลายนิ้วจิ้ม ๆ บริเวณไหล่ที่โผล่พ้นใยผ้าอันขาดวิ่น นางจึงทราบว่าแท้จริงเขาเป็นคน เรียวนิ้วชี้อังบริเวณจมูกโด่งเป็นสันที่เปื้อนเปรอะดินโคลน ลมหายใจอุ่น ๆ รินรดแผ่วโผย
"คะ...คน เขายังมีลมหายใจ!!"
