บทที่ 3 ทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กน้อย
สาวใช้ทั้งสองยกอ่างน้ำมาเช็ดตัวให้ฉู่จางหมิ่น และมีถ้วยโจ๊กที่มีเม็ดข้าวอยู่น้อยนิด กับผัดผักไม่กี่ชิ้นสำหรับมื้อนี้ หนิงอวี่เช็ดตัวฉู่จางหมิ่นอย่างระมัดระวัง แต่นางกลับรู้สึกว่าความร้อนจากพิษไข้ แทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่เช่นก่อนหน้านี้
ฉู่จางหมิ่นที่ทนนอนต่อไม่ไหว จึงทำทีว่าตนเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา
เมื่อมีผ้าชุบน้ำมาถูกร่างของนาง ทำเอาหนิงอวี่เรียกเจ้านายตัวน้อย
ด้วยความดีใจฮุยอินก็รีบเข้ามาดูอาการด้วยอีกคน
“อืม”
“คุณหนู! คุณหนูของบ่าวฟื้นแล้ว ในที่สุดท่านก็ยอมฟื้นขึ้นมา
เสียที ฮุยอิน ๆ คุณหนูได้สติจากพิษไข้แล้ว”
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ยังปวดศีรษะอยู่หรือไม่” ฮุยอิน
ดีใจไม่ต่างจากหนิงอวี่ ที่กำลังแตะตัวเพื่อตรวจดูความร้อนจากพิษไข้
“ไม่ปวดแล้วเจ้าค่ะแต่ยังรู้สึกเพลียอยู่เล็กน้อย พวกพี่สองคนเล่าได้พักผ่อนกันบ้างหรือไม่ มัวแต่ดูแลข้าเช่นนี้คงจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
เลยนะเจ้าคะ ขอบคุณพวกท่านสองคนมาจริง ๆ ที่คอยดูแลข้าเสมอ”
ฉู่จางหมิ่นมองใบหน้าของสาวใช้ ดูอิดโรยจากการคอยดูแลตนเอง
“ฮึก บ่าวไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงคุณหนูหายป่วยไข้ก็พอ” หนิงอวี่ทั้งดีใจทั้งโล่งใจจนร้องไห้ออกมา นางกลัวมากกว่าคุณหนูน้อย
ที่เลี้ยงมากับมือ จะต้องมาตายตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้
“ตอนที่ข้าล้มป่วยคงมีเพียงพวกพี่สองคน คอยดูแลอยู่ข้าง ๆ สินะเจ้าคะ คนในครอบครัวไม่มีใครมาสนใจตัวเสนียดเช่นข้า”
“คุณหนูอย่าพูดเช่นนั้นสิเจ้าคะ ท่านไม่ใช่ตัวเสนียดอันใดสักนิด ใครไม่สนใจก็ช่าง แต่คุณหนูยังมีข้ากับฮุยอิน ที่จะอยู่เคียงข้างคอยดูแลคุณหนูเช่นนี้ตลอดไปนะเจ้าคะ” หนิงอวี่รีบเอ่ยห้ามมิให้ฉู่จางหมิ่น
กล่าวว่าตนเองเป็นตัวเสนียด จนคนในครอบครัวรังเกียจ
“ใช่เจ้าค่ะคุณหนูใครจะคิดอย่างไรก็ช่างเถิด แต่สำหรับพวกบ่าวสองคนคุณหนูคือดาวนำโชคมากกว่าเจ้าค่ะ” ฮุยอินเห็นด้วยกับคำพูดนี้
“อย่าพูดถึงเรื่องไม่สบายใจดีกว่าเจ้าค่ะ บ่าวว่าคุณหนูทานโจ๊กเสียหน่อย จะได้แข็งแรงไว ๆ นะเจ้าคะ” หนิงอวี่รีบเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
“ขอบคุณพวกพี่สองคนมากจริง ๆ ที่ไม่ทอดทิ้งข้าไว้เพียงลำพัง วันหน้าหากข้าได้ดีมีฐานะร่ำรวย ย่อมตอบแทนพวกท่านอย่างดีเจ้าค่ะ”
ฉู่จางหมิ่นซึ้งใจแทนเจ้าของร่าง ที่มีสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์สองคนนี้อยู่เคียงข้าง
ฉู่จางหมิ่นรับถ้วยโจ๊กมาทานเอง และยังนึกถึงเรื่องที่สาเหตุที่ทำให้ดวงจิตของตน ทะลุมิติย้อนมายังโลกคู่ขนาน ที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง
ก็น้ำตาคลอเล็กน้อย ความเจ็บปวดเสียใจยังคงมีอยู่ รวมกับความ
โดดเดี่ยวของเด็กน้อยเจ้าของร่างที่จากไป คนในครอบครัวคงมีชีวิตที่ดีขึ้นจากเงินประกันของนาง ส่วนผู้ชายสารเลวเช่นนั้น นางขอตัดวาสนาต่อกันทุกชาติไป
ขณะที่ฉู่จางหมิ่นตักโจ๊กกลืนลงท้องได้ไม่กี่คำ เสียงพูดจาดูถูก
ก็ดังขึ้นด้านหน้าประตูเรือน นางจึงหันไปถามหนิงอวี่กับฮุยอินด้วยสายตา ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นใคร
“อี๋! ท่านแม่เจ้าคะทำไมพวกเราต้องมาที่นี่ด้วย มีแต่เศษฝุ่น
เต็มไปหมดชายกระโปรงข้าสกปรกแล้วเจ้าค่ะ” ฉู่เฟินเยว่เดินมากับมารดาผู้เป็นอนุ ที่พาตนเองมาดูว่าฉู่จางหมิ่นใกล้จะตายหรือยัง
“เยว่เอ๋อร์แค่ชายกระโปรงเลอะเพียงเล็กน้อย เจ้าอดทนเสียหน่อยประเดี๋ยวกลับเรือนถอดชุดนี้ให้ซินอี๋เอาไปทิ้งก็ยังได้” ชุยเยี่ยนฟางก้มลงมองบุตรสาว ที่ยามนี้เป็นที่รักของครอบครัว มากกว่าบุตรสาวสายตรงของฮูหยินเอกอย่างฉู่จางหมิ่น
“เจ้าค่ะท่านแม่”
หนิงอวี่เห็นสายตาของเจ้านายน้อย ที่มีคำถามแม้จะสงสัยว่าทำไมถึงจำไม่ได้ แต่ยังคงตอบคำถามให้ฉู่จางหมิ่น
“..?..”
“เป็นอนุชุยกับคุณหนูรองฉู่เฟินเยว่เจ้าค่ะ พวกนางคงมาซ้ำเติมหรือไม่ก็มาดูว่าคุณหนูเป็นอย่างไรกระมัง”
“อ่อ บุตรสาวคนโปรดของคนทั้งจวน ที่ช่วยหนุนดวงชะตาให้
ท่านพ่อ ได้ดิบได้ดีก้าวหน้าในตำแหน่งขุนนางน่ะหรือ”
“คุณหนูอย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรท่านก็เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉู่” ฮุยอินพยายามปลอบใจฉู่จางหมิ่น
“หึ พวกพี่สองคนไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้ารอดพ้นจากแม่น้ำเหลือง
มาได้ ถึงจะมีอายุเพียงหกหนาว แต่ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาหยามเกียรติได้แน่เจ้าค่ะ” ฉู่จางหมิ่นจากโลกอนาคต ที่ฟันฝ่าเรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย จะกลัวกับเรื่องบ้านเล็กของบุรุษได้อย่างไร
ถ้วยโจ๊กอุ่น ๆ ยังคงอยู่ในมือน้อย ๆ แต่ผู้ถือกลับหยุดกินมัน
เสียอย่างนั้น และใช้สายตาจ้องมองไปที่ประตู ว่าแขกที่มาเยือนจะปรากฏเมื่อใด เพียงชั่วลมหายใจทั้งนายและบ่าว ก็ก้าวเข้ามาด้านในห้อง
พร้อมสายตาดูแคลนอย่างชัดเจน
อนุชุยยืนมองคุณหนูใหญ่ของจวน และแอบยิ้มเยาะออกมาเล็กน้อย “อา จางหมิ่น ข้าไม่ได้พบเจ้ามาพักใหญ่ ข้าก็ได้ยินข่าวมาว่า
เจ้าล้มป่วยงั้นหรือเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”
ฉู่เฟินเยว่หัวเราะเบา ๆ มองจางหมิ่นด้วยแววตาดูแคลน
“ท่านแม่จะถามไปทำไมเจ้าคะโชคดีแค่ไหนที่นางยังไม่ตาย ไม่เช่นนั้น
งานศพของนาง จะทำให้ท่านพ่อโชคร้ายได้นะเจ้าคะ”
ฉู่จางหมิ่นยิ้มบาง ๆ มองพวกนางด้วยแววตาที่สงบนิ่ง
แต่ซ่อนความความไม่พอใจเอาไว้ “ขอบคุณอนุชุยที่เป็นห่วง บังเอิญข้ายังไม่ถึงเวลาตายกระมัง ขอโทษด้วยที่ทำให้พวกเจ้าต้องผิดหวัง"
อนุชุยยิ้มเหยียดกับคำพูดของฉู่จางหมิ่น “เชอะ แล้วอย่างไร
เจ้าอยู่หรือตาย ทุกคนในจวนก็มิได้สนใจชีวิตนี้ของเจ้า เมื่อลองเทียบกับเยว่เอ๋อร์ของข้าแล้วเจ้าไม่มีทางเทียบได้ แม้แต่มารดาแท้ ๆ ของเจ้า
ยังไม่คิดมาเยี่ยม ลองตรองดูเถิดว่าเจ้าควรทำตัวเช่นไร”
ฉู่เฟินเยว่กอดอกเชิดหน้าอย่างถือดี “ท่านแม่อย่าพูดกับนาง
ให้เสียเวลาดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าอยากเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว”
“ได้สิจ๊ะลูกแม่ หึ จางหมิ่นเจ้าอยู่ที่เรือนนี้เงียบ ๆ ทำตัวให้ดีอย่าได้เสนอหน้าไปวุ่นวายที่เรือนใหญ่ เพราะอีกเจ็ดวันจะมีขุนนางจาก
เมืองหลวงนำราชโองการมาที่นี่ ถ้าไม่อยากถูกบิดาของเจ้าทำโทษ
จงอยู่อย่างเจียมตัวต่อไป พวกเจ้าสองคนก็เช่นกัน ควบคุมดูแลนางให้ดีอย่าปล่อยออกไปนอกเรือนเด็ดขาด หากการรับราชโองการเกิดมีปัญหา นายท่านจะขายพวกเจ้าสองคนออกไปเสีย” อนุชุยหันไปสั่งหนิงอวี่
กับฮุยอิน ด้วยน้ำเสียงที่วางอำนาจกับบ่าวไพร่
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่จางหมิ่นยังคงจ้องมองสองแม่ลูก ด้วยแววตาที่แข็งกร้าว
และไม่พอใจอย่างมาก
“อนุชุยไม่ต้องกังวลไป เชิญพวกท่านเสพสุขกันตามสบายเถิด ทางที่ดีอย่าได้มาเหยียบที่เรือนสกปรกของข้าอีก ประเดี๋ยวเกิดโชคร้ายขึ้นมา จะกล่าวโทษว่าข้าเป็นคนทำไม่ได้หรอกนะ ถ้าหมดธุระแล้วก็เชิญ”
“หึ ก็ดี! ข้าจะรอดูน้ำหน้าคนอย่างเจ้า ว่าจะอยู่ในจวนนี้ได้นาน
แค่ไหนไปกันเถิดเยว่เอ๋อร์” อนุชุยไม่คิดว่าฉู่จางหมิ่น ที่ไม่เคยมองสบตา หรือแม้แต่ตอบโต้ตนเอง ยามนี้กลับเป็นคนละคนไปเสียได้
ฉู่จางหมิ่นยิ้มมุมปาก “รอดูต่อไป บางทีความจริงที่ท่านเห็นกับสิ่งที่ข้าสร้างอาจต่างกัน ข้าจะให้พวกท่านได้เห็นว่าชีวิตข้าไม่ได้จบลงที่นี่”
“แล้วข้าจะคอยดู ฮึ”
ชุยเยี่ยนฟางที่ตั้งใจมาตอกย้ำความต่ำต้อย ที่ฉู่จางหมิ่นไม่อาจได้รับเช่นบุตรสาวของนางได้ แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
เมื่อเด็กหญิงอ่อนแออย่างฉู่จางหมิ่น จะกล้าพูดจาโต้ตอบนางกลับมา
ซึ่งแตกต่างจากเดิมยิ่งนักถึงอย่างไรชุยเยี่ยนฟางมิได้สนใจนาน
ขอเพียงบุตรสาวของนางได้รับทุกสิ่ง ที่ควรจะเป็นของฉู่จางหมิ่นทั้งหมด
ก็เพียงพอแล้ว
