ไข่เจียว
ไม่นานนัก ทั้งน้ำมัน เครื่องปรุงมากมายก็ถูกวางลงบนโต๊ะยาวสำหรับทำอาหารอย่างพร้อมเพรียง ไป๋ลู่แอบยิ้มในใจ คนเหล่านี้แม้จะมีอคติแต่ก็ไม่ได้รับมือยากสักเท่าไหร่
“ฮูหยิน ท่านจะทำอะไร ทำไมท่านถึงต้องใช้ไข่กับน้ำมัน?”
“ข้าอยากทำไข่เจียวทานน่ะ”
“ไข่เจียวคืออะไรหรือเจ้าคะ…”
ไป๋ลู่หยิบไข่สามฟองและบรรจงตอกมันลงไปในชาม เติมเกลือลงเล็กน้อย ก่อนจะใช้ตะเกียบตีให้เข้ากันจนเนื้อไข่ฟูสวยงาม
หลังจากที่รอจนน้ำมันในหม้อร้อนจัดจนเป็นฟองสีใส นางก็เทไข่ที่ตีไว้ลงไป
“ฉ่า!” กลิ่นหอมของไข่ก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องครัว
เหล่าคนครัวที่ได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของไข่เจียว ต่างพากันน้ำลายสอกลับกลิ่นที่ล่องลอยไปในอากาศ
“อืม นี่แหละ อาหารง่ายๆ ที่ไม่ต้องรอใครยกมาให้”
ไป๋ลู่ยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจ ในที่สุดก็เริ่มหาวิธีเอาตัวรอดจากโลกนี้ได้แล้ว นางนั่งลงกินข้าวไข่เจียวที่มุมหนึ่งของครัวต่อหน้าบ่าวทุกคน
“ข้ากินไม่หมดหรอก ข้าแบ่งให้พวกเจ้า” หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ ไป๋ลู่ได้ทำการตักไข่เจียวสีเหลืองอร่ามแบ่งใส่จานใหญ่อีกใบ เพื่อให้คนครัวได้รับประทานด้วยกันในภายหลัง และเดินออกจากห้องครัวไปโดยมีผิงผิงวิ่งรั้งท้ายเช่นเคย ที่ไม่เหมือนเดิมคงจะเป็นทัศนคติของบ่าวในครัวที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“อร่อยมาก!” บ่าวในครัวเอ่ยออกมาเป็นเสียงเดียวกันหลังจากที่ได้ลิ้มรสอาหารจากไข่ที่ฮูหยินเป็นคนทำ
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจอาหารมื้อเช้าแล้ว ไป๋ลู่จึงเดินสำรวจรอบจวนโหวอีกครั้งหนึ่ง สมัยก่อนอลิษาไม่เคยได้มีโอกาสไปเที่ยวตากอากาศ เพราะมัวแต่ทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเอง พอมีโอกาสได้เดินเล่นเรื่อยเปื่อยท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของเมืองเหนือ หญิงสาวจึงอยากผ่อนคลายเสียหน่อย
หากอยากจะกลับไปยังโลกเดิมต้องทำอย่างไร? หากกลับไปแล้วชีวิตจะลำบากอีกไหม? อยู่ในโลกนี้เหมือนจะมีสามีรวย มีชีวิตที่สุขสบายก็จริง แต่เราจะสามารถมีความสุขที่แท้จริงได้หรือ?
ระหว่างนั้น ไป๋ลู่ก็สะดุดกับเสียงกระซิบกระซาบของบ่าวผู้หญิงสามคนที่จับกลุ่มกันอยู่ไม่ไกล หนึ่งในนั้นคือเหลียนฮวา ผู้ที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบนาง
“ฮูหยินก็เป็นแค่เด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง ท่านโหวคิดอย่างไรกันถึงแต่งนางเข้ามา”
“นั่นสิ ท่านโหวของพวกเราช่างรูปงามนัก สาวๆ ในจวนต่างพากันอกหักเป็นแถว ผู้ที่จะได้เป็นฮูหยินน่าจะเป็นสตรีที่คู่ควรกว่านี้”
“ฮูหยินของจวนกลับเป็นเพียงสาวน้อยในห้องหอ ไร้ซึ่งความสามารถโดดเด่นใดๆ ข้าชักเป็นห่วงอนาคตของจวนโหวเสียแล้วสิ”
ไป๋ลู่ยืนฟังคำนินทาของพวกนางตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่ไม่ได้คิดหนีแต่อย่างใด กลับกันนางก้าวไปหาพวกบ่าวเหล่านั้นด้วยท่าทางที่มั่นใจ
ไม่ว่าจะอยู่ในภพชาติไหน สังคมใดย่อมต้องมีคนประเภทนี้อยู่เสมอ พวกที่ชอบตัดสินคนจากภายนอก
“พวกเจ้ากำลังพูดถึงใครอยู่หรือ?”
“อ๊ะ ฮูหยิน” หนึ่งในบ่าวรีบโค้งตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่เหลียนฮวากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
“ข้าน้อยไม่ได้พูดผิดไปนะเจ้าคะ ข้านั้นเป็นห่วงท่านโหวจากใจจริง ก็เลยเผลอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวออกไป หวังว่าฮูหยินจะเข้าใจบ่าว”
“เข้าใจ? เข้าใจว่าการละเลยฮูหยินในจวนเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนั้นหรือ? แม้ข้าจะไม่มีความสามารถโดดเด่น แต่ข้าก็เป็นภรรยาแต่งของท่านโหว ฮ่องเต้พระราชทานมา การที่พวกเจ้าดูถูกข้า ไม่ต่างอะไรจากการดูหมิ่นพระราชโองการ!”
“…”
ในสมัยตอนที่เป็นอลิษานั้น ไม่มีทั้งอำนาจและไม่มีคนหนุนหลัง เวลาถูกนินทาว่ากล่าวจะตอบโต้กลับก็ไม่สามารถทำได้อย่างใจ แต่ตอนนี้นางมาอยู่ในโลกใหม่ โลกที่ได้สวมบทบาทเป็นคนชั้นสูง หากลองใช้บทบาทนี้จัดการปัญหาด้วยกำลังดูบ้าง ผลลัพธ์นั้นจะออกมาเป็นเช่นไร?
ระหว่างที่กำลังชั่งใจอยู่นั่นเอง...
“ภรรยาพระราชทานแล้วอย่างไร หากท่านโหวไม่ยอมรับ สาวใช้ปีนเตียงยังจะดีกว่าท่านเสียอีก ถ้าทนไม่ได้ก็หย่าท่านโหวเสียสิ”
เหลียนฮวากล่าวออกมาอย่างจงใจ ด้วยคิดว่าคนที่คู่ควรจะเป็นสตรีที่นั่งอยู่ภายในใจของท่านโหวคือนางต่างหาก
ท่านผู้นั้นได้บอกกับนางเอาไว้ ถ้าหากทำให้ทั้งสองหย่ากันได้สำเร็จ ตำแหน่งสตรีของท่านโหวจะกลายเป็นของนางทันที แม้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะฟังดูเหมือนความฝันที่เลื่อนลอย แต่สำหรับนางแล้ว มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงมิใช่หรือ?
