บทที่ 2 ความดีที่ทำ
บทที่ 2 ความดีที่ทำ
หลังจากนั้นไม่นานผู้จัดการเดินเข้ามา ซึ่งผู้จัดการคนนี้เป็นคนที่ชอบกดขี่และไม่เคยฟังเหตุผลของพนักงานคนไหนเลย พอมาถึงก็มองนลินด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดเสียงดังอย่างไม่สนใจใคร
“นลิน เข้ามาหาฉันที่ห้องเดี๋ยวนี้!!”
“ค่ะ ผู้จัดการ”
นลินตอบรับและเดินตามผู้จัดการไปที่ห้องทำงานของเขา เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว เขาก็เริ่มด่าว่าเธอทันที
“นลิน ทำไมเธอถึงทำให้ลูกค้าไม่พอใจแบบนี้ เธอรู้ไหมว่าการทำแบบนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของห้างเราเสียหายแค่ไหน”
“แต่ลูกค้าโวยวายมาก่อนค่ะ ทั้ง ๆ ที่ฉันพยายามอธิบายอย่างสุภาพแล้ว แต่เธอไม่ยอมฟังอะไรเลย ทุกคนก็เห็น” นลินตอบอย่างมีเหตุผล แม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าจะไม่มีเหตุผลก็ตาม
“ไม่ต้องมาแก้ตัว หน้าที่ของเธอคือบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ราบรื่น เพื่อให้ลูกค้าพอใจมากที่สุด เรื่องสินค้าที่หมดสต๊อก นี่ก็เหมือนกัน ถ้ารู้ว่ามันเหลือน้อยแล้วทำไมถึงไม่สั่งล่วงหน้า ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออกไปซะ!!” ผู้จัดการตะโกนเสียงดังจนทำให้หญิงสาวรู้สึกท้อแท้
นลินเงียบไปเพราะไม่อยากจะเถียงต่อ เธอรู้ดีว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะผู้จัดการคนนี้ไม่เคยฟังเหตุผล ทั้ง ๆ หน้าที่การสั่งสินค้าเข้าร้านเป็นหน้าที่ของหัวหน้าแผนกแท้ ๆ แต่ก็ยังโยนมาให้เธอรับผิดชอบ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าวัน ๆหัวหน้าแผนกนั้นทำอะไรบ้าง
หลังจากถูกตำหนิโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้งแล้ว นลินจึงเดินกลับไปที่แผนกอย่างหดหู่
หญิงสาวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟฟ้า เห็นภาพชีวิตในเมืองหลวงที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอนึกถึงบ้านที่ต่างจังหวัดอันเงียบสงบและอบอุ่น ซึ่งแตกต่างจากที่นี่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความกดดัน เลยเริ่มสงสัยว่าการที่เธอตัดสินใจทำงานอยู่ที่นี่ต่อหลังเรียนจบ นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วใช่ไหม
ขณะที่กำลังครุ่นคิดและเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จู่ ๆ ก็มีผีเสื้อตัวหนึ่งบินผ่านหน้าเธอ ผีเสื้อตัวนี้แปลกมาก ยามที่ต้องแดดในตอนเช้าดูเหมือนราวกับมันจะจะเปล่งแสงออกมา ทำให้นลินไม่สามารถละสายตาจากมันได้ เธอมองจนกระทั่งมันบินพ้นสายตาไป
ความงดงามของผีเสื้อตัวนี้ กลับทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายในเช้าที่วุ่นวายนี้
ไม่นานเมื่อถึงสถานีที่ต้องการ หญิงสาวได้ลงจากรถไฟฟ้าแล้วออกจากสถานี จากนั้นก็ตั้งใจจะข้ามถนนเพื่อไปยังห้างที่ตัวเองทำงานอยู่
นลินยืนรอสัญญาณไฟข้ามถนนตรงทางม้าลาย โดยข้าง ๆ มีนักเรียนหญิงมัธยมต้นคนหนึ่งกำลังยืนคุยโทรศัพท์อย่างสนุกสนานกับเพื่อน เด็กคนนี้กำลังคุยกับเพื่อนเรื่องที่นัดกันไปเที่ยวในสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้
“อาทิตย์นี้เราไปเกาะเกร็ดกันดีไหม ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นมีร้านขนมไทยโบราณเยอะเลยนะ แล้วก็มีตลาดนัดด้วย เราไปกันแต่เช้าเลยไหม”
“ร้านป้าแดงไง ฉันเห็นในรีวิวบอกว่าขนมไทยร้านนั้นอร่อยมาก แล้วก็มีขนมเบื้องแป้งบางกรอบที่ทุกคนพูดถึงด้วยนะ เราต้องลองให้ได้”
“ตกลง ฉันจะเตรียมกล้องไปด้วย จะได้ถ่ายรูปกันเยอะ ๆ ไว้เป็นที่ระลึกและนำมารีวิวบ้าง”
หลังจากได้ยินการสนทนา ในใจของนลินนึกถึงตัวเองในสมัยอดีตซึ่งเธอเองจำไม่ได้แล้วเช่นกันว่า ครั้งสุดท้ายที่คุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนานและคลี่ยิ้มกว้างขนาดนั้น เคยเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกันแล้ว ช่วงเวลาที่เคยสดใสกับเพื่อนสนิท และการหัวเราะอย่างไร้กังวล กลายเป็นความทรงจำที่เลือนรางไปตามกาลเวลา
ทว่าในขณะที่ไฟสำหรับคนข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีเขียว ทั้งเธอและเด็กคนนั้นมองจนแน่ใจว่าน่าจะปลอดภัย จึงก้าวลงไปบนถนนเพื่อรีบข้ามไปยังอีกฝั่ง แต่จังหวะนั้นก็มีรถคันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูงตรงมายังพวกเธอ
“ระวัง!!”
ในชั่ววินาทีนั้น ไม่รู้ว่าในใจของนลินกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือไปคว้าเด็กสาวมัธยมต้นคนนั้นไว้ จากนั้นก็ออกแรงเหวี่ยงเด็กนักเรียนไปยังฟุตบาท
แต่เมื่อหันกลับมาอีกที รถคันนั้นก็กำลังพุ่งใส่เธอ อีกทั้งยังบีบแตรเสียงดังลั่น จนเธอต้องหลับตาเพราะความตกใจ
โครม!!
เสียงชนโครมดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วท้องถนน เสียงแตรรถและเสียงคนตะโกนด้วยความตื่นตกใจ ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความชุลมุนที่เกิดขึ้น ทำให้การจราจรทั้งหมดหยุดชะงัก รถยนต์ที่กำลังขับมาด้วยความเร็วต่างต้องหยุดเบรกอย่างกะทันหัน บางคันเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อเตือนรถที่ตามมาให้ชะลอความเร็ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรที่ประจำอยู่ใกล้เคียงรีบวิ่งมายังจุดเกิดเหตุ เขายกมือขึ้นสั่งการให้รถหยุดและเป่านกหวีดเพื่อควบคุมสถานการณ์
“หยุดรถ! ทุกคันหยุดรอ!” ตำรวจนายนี้ตะโกนเสียงดัง เพื่อให้ผู้ขับขี่ผ่านถนนเส้นนี้ได้ยินอย่างชัดเจน
ถนนที่เคยเต็มไปด้วยรถยนต์อย่างหนาแน่นและเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ในชั่วโมงเร่งด่วน แต่ตอนนี้กลับหยุดนิ่งมีคนขับรถลงมายืนดูเหตุการณ์ด้วยความสงสัย และมองอย่างเป็นห่วงเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ผู้คนมากมายต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างส่งเสียงโหวกเหวกบอกให้ตำรวจรีบเข้าไปช่วย บางคนก็ตะโกนบอกให้เรียกรถพยาบาล บางคนที่พอจะปฐมพยาบาลได้ก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยเหลืออย่างไม่รีรอ
แล้วก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเมื่อเห็นเหตุการณ์ก็รีบวิ่งเข้ามาหานลิน ซึ่งเขามีท่าทางมั่นใจและดูมีประสบการณ์ในการปฐมพยาบาลอย่างมาก
เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงบ ไม่มีแววตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับคุ้นชินเหตุการณ์เหล่านี้อย่างมาก “ทำใจดี ๆ ไว้นะครับ อย่าขยับตัวนะ รถพยาบาลกำลังจะมาถึงแล้ว”
หญิงสาวอีกคนที่อยู่ไม่ไกลก็เข้ามาช่วยดูแลเด็กสาวที่นลินช่วยไว้ เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อไม่ให้เด็กคนนี้ตื่นตระหนก “ไม่ต้องกลัวนะคะ ตอนนี้น้องปลอดภัยแล้ว เดี๋ยวพี่จะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่ารถพยาบาลจะมา”
เวลานี้นลินนอนอยู่บนพื้นเธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างและพยายามหายใจเข้าลึก ๆ หูนั้นคอยฟังเสียงคนรอบข้างเพื่อให้ตัวเองสงบลง ชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยก็ยังคงพูดเพื่อให้กำลังใจไม่หยุด
“คุณทำได้ดีมากครับ คุณช่วยน้องเขาไว้ ตอนนี้คนที่คุณช่วยนั้นปลอดภัยแล้ว คุณเป็นคนเก่งจริง ๆ อีกแป๊บเดียวรถพยาบาลก็จะมาถึงแล้ว ทำใจดี ๆ ไว้ อย่าขยับตัวไปไหนนะครับ แล้วอย่าหลับนะครับ”
ผู้คนรอบข้างเริ่มรวมตัวกันเป็นวงกว้าง บางคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปและถ่ายวิดีโอ บางคนก็พยายามให้กำลังใจนลินและเด็กสาวที่อยู่ข้าง ๆ กัน
ขณะเดียวกันก็หญิงสูงวัยคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ลูกเอ๋ย ใจเย็น ๆ นะ แม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเลย ลูกทำดีมากที่ช่วยเด็กไว้ คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้นะลูกนะ หนูจะต้องไม่เป็นอะไร”
เด็กหญิงที่นลินช่วยไว้ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอนั่งอยู่ด้านข้าง และอยู่ในอ้อมกอดของหญิงคนหนึ่งที่พยายามพูดปลอบใจไม่ให้เธอขวัญเสียไปมากกว่านี้ มือสองข้างยกขึ้นมาปิดปาก เธอมองมาทางนลินอย่างขวัญเสีย น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาโดยที่ไม่รู้ตัว ใจสั่นระริกด้วยความกลัวและตกใจ เนื่องจากเธอไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน และการที่เห็นคนที่ช่วยเหลือตนเองนอนจมกองเลือดตรงหน้านั้น ทำให้รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนลง
เธอพยายามลุกขึ้นยืน แม้ว่าเข่าจะสั่นด้วยความตกใจ แต่ก็เดินพยายามไปหาอีกฝ่าย ใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสารและเจ็บปวด เธอมองคนนี้ที่เพิ่งช่วยชีวิตตัวเองไว้พร้อมกับน้ำตาไหลรินลงมาเป็นสาย พยายามพูดกับผู้มีพระคุณ แต่เสียงสั่นจนแทบจะฟังไม่ออก
“พี่คะ พี่ต้องไม่เป็นอะไรนะคะ เข้มแข็งไว้นะคะ”
เธอประโยคเดิม ๆ พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เมื่อมองเห็นเลือดที่ไหลออกมาและความเจ็บปวดที่ปรากฏบนใบหน้าของผู้ช่วยชีวิต เธอรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นหัวใจเพราะไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
