บทนำ
“ช่วยด้วย”
เสียงใครน่ะ ซุนเพ่ยเหวิน สตรีในยุคเทคโนโลยีก้าวหน้าไปถึงขนาดชีวิตประจำวันมีการนำ AI มาใช้เป็นเรื่องปกติรวมทั้งในสายอาชีพที่นางประกอบอยู่ อันได้แก่ วงการแพทย์ในสังกัดทหารก็มีการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ผสมผสานกับการรักษาแผนจีนโบราณ
ทว่าเวลานี้ซุนเพ่ยเหวินที่มีความทรงจำล่าสุดคือหญิงสาวกำลังออกภาคสนามลงไปช่วยเหลือเหล่าทหารที่กำลังเดินทางกลับมาจากการปฏิบัติภารกิจปกป้องประเทศชาติ หากแต่ไฉนเวลานี้หญิงสาวกำลังเดินหลงทางอยู่ในดงหมอกหนาจัดเช่นนี้
หนาขนาดไหนน่ะหรือ
...ขนาดที่ว่าซุนเพ่ยเหวินไม่สามารถมองเห็นหนทางข้างหน้าที่นางกำลังเดินไป มองไม่เห็นแม้กระทั่งสิ่งแวดล้อมรอบตัวระยะไกลกว่าสิบฉื่อก็ไม่สามารถเห็นแล้ว
ที่นี่มันที่ไหน
“ช่วยด้วย”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังแหวกม่านหมอกขาวพุ่งตรงมาหานางนั้นมาจากที่ใดนั้นซุนเพ่ยเหวินมองไม่เห็นต้นเสียงเลย
หากจะกล่าวว่าเหมือนเป็นเสียงของภูตผีนั้นก็ไม่ผิด
ติดที่นางนั้นไม่เชื่อเรื่องผี วิญญาณที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ดังนั้นเสียงหวานจึงตะโกนฝ่าเมฆหมอกรอบตัวออกไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียง
“นั่นเสียงของใคร”
“ช่วยด้วย”
“หากอยากให้ข้าช่วยก็โผล่หน้ามาให้เห็นสิ”
“ช่วยด้วย”
“เฮ้อ~ พูดเป็นอย่างเดียวหรือไงกันนะ” ซุนเพ่ยเหวินล้มเลิกความตั้งใจในการสื่อสารกับสิ่งที่มองไม่เห็นเปลี่ยนเป็นเดินหาทางออกจากที่นี่แทน
ทว่าไฉนนางไม่อยากสนใจแล้วไยเสียงดังกล่าวกลับยิ่งดังมากยิ่งขึ้นและทวีความน่าหวั่นเกรง น้ำเสียงหวานไร้ที่มานั้นเริ่มกรรโชกรุนแรงใส่ซุนเพ่ยเหวิน
“ช่วยบิดาข้าด้วย!”
ซุนเพ่ยเหวินหยุดเดิน นางสูดลมหายใจเหน็บหนาวไปถึงไขกระดูก นางหรี่ตามองภาพลอยคว้างปรากฏอยู่บนอากาศ
เพิ่งมีภาพปรากฏขึ้น ภาพเหล่านั้นเป็นภาพวาดโบราณสามภาพลอยข้างกัน
ทั้งสามล้วนเป็นบุรุษหน้าตาคมคายหล่อเหลากันคนละแบบ
ภาพแรกให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองบุรุษสูงศักดิ์อยู่บนที่สูง คนมองรู้สึกเหมือนไม่ควรยื่นมือต่ำต้อยของตัวเองออกไปแตะต้องเพราะกลัวอีกฝ่ายแปดเปื้อนกลิ่นไอความต่ำต้อย
ภาพที่สองเป็นบุรุษหน้าตาคมเข้มมากด้วยอำนาจที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว แววตาที่จิตกรวาดออกมานั้นให้ความรู้สึกเหมือนบุรุษผู้เป็นแบบวาดเป็นจอมกระหายเลือด ไม่ต้องการให้ผู้ใดจ้องมองตาเขาทั้งสิ้น
และภาพสุดท้ายเป็นบุรุษที่แม้มิได้มีความงามโดดเด่นเหมือนภาพอีกสองภาพทว่ากลับทำให้คนมองรู้สึกสบายใจดั่งมีน้ำเย็นมาราดรดหัวใจที่กำลังสับสนวุ่นวายให้สงบลงอย่างง่ายดาย
ประเด็นไม่ใช่เรื่องความหล่อ...ทว่าทั้งสามคนนั้นซุนเพ่ยเหวินไม่รู้จักเลยสักคน
เจ้าของเสียงนั้นต้องการอะไรจากนางกันแน่จึงสร้างภาพเหล่านี้มาให้ซุนเพ่ยเหวินดู
“สามภาพนั้นคือใคร เจ้าต้องการอะไรกันแน่!”
“ช่วยด้วยบิดาข้าด้วย ได้โปรด...”
เสียงของสตรีไร้ตัวตนหวีดตะโกนเดิมซ้ำไปซ้ำมา ดังพุ่งเข้าหาซุนเพ่ยเหวินทั่วทุกทิศทางจนหญิงสาวปวดหูทนไม่ไหว ทรุดตัวลงคุกเข่า หอบหายใจแรง มือบางทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหูส่ายศีรษะปฏิเสธทุกสิ่งอย่างที่พุ่งเข้ามาหานาง...ท่าทางของนางนั้นทรมานเหลือคณานับ จนกระทั่งร่างบอบบางนั้นทนไม่ไหวหมดสติเป็นลมล้มลงไปกองกับพื้น
“แม่นางลี่อิน แม่นางตื่นได้แล้ว” เสียงติดรำคาญใจของสตรีผู้หนึ่งดังไม่ไกลจากข้างหูคนนอนหลับไหลยังไม่ตื่นจากนิทรา
สาวงามที่กำลังหลับไหลอยู่บนเตียงนอนหลังเล็กเริ่มขยับตัวเพราะมีเสียงดังรบกวนบอกกับแรงเขย่ายิ่งเร่งให้สาวงามลืมตาตื่นขึ้นมาต้องรับวันใหม่
และชีวิตใหม่
“หายป่วยได้สักที อุตส่าห์ช่วยชีวิตเจ้ามาจากกองคนตายนึกว่าจะช่วยกิจการได้กลับกลายมาเป็นภาระของพวกข้าตั้งหลายวัน ลุก ลุกเดี๋ยวนี้ อย่ามัวเอาแต่นั่งเมาขี้ตา ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทนนะ!”
ซุนเพ่ยเหวินลืมตาขึ้นมาในร่างใครที่ไม่คุ้นเคยเลยสักนิดก็ไม่รู้ ดีที่มีคันฉ่องทองเหลือตั้งอยู่บนโต๊ะไม่ไกลหันมาส่องให้ซุนเพ่ยเหวินเห็นตัวเองพอดี นางจึงรู้ตัวว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
ทั้งความฝันประหลาดที่ตนเองเหมือนเดินหลงอยู่ในเขาวงกตอันเต็มไปด้วยหมอก เสียงร้องขอความช่วยเหลือของสตรีผู้หนึ่งที่นางไม่ได้มีโอกาสแม้ขนาดเห็นหน้าเจ้าของเสียง
อีกทั้งลืมตาตื่นจากฝันขึ้นมากลับพบว่าตนเองกำลังสวมร่างใครก็ไม่รู้ที่ไม่หลงเหลือแม้กระทั่งความทรงจำของตัวตนร่างนี้ ทั้งสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่คุ้นเคย ของใช้เครื่องเรือนต่าง ๆ เหมือนย้อนยุคกลับไปช่วงที่ไม่มีเทคโนโลยีทันสมัยใช้งาน สิ่งที่ยืนยันชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นการแต่งการของคนที่นี่
...เหมือนคนยุคโบราณไม่มีผิด
ซุนเพ่ยหยางเคยเห็นจากหนังสือประวัติศาสตร์ที่นางเคยเรียนและซีรีส์ที่นางเคยเปิดดู
อีกทั้ง...
สตรีวัยกลางคนตรงหน้าที่กำลังยืนท้าวเอวมองมาทางนางอย่างไม่พอใจ เสียงของอีกฝ่ายเล็กแหลมสร้างความน่ารำคาญใจไม่น้อยให้ซุนเพ่ยหยาง
“เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน เกิดอะไรขึ้น”
“พูดงึมงำอันใดอยู่ ข้าคิดผิดจริง ๆ ที่เก็บสตรีที่อ่อนแออย่างกับคุณหนูในห้องหอเช่นเจ้ากลับมาล้างน้ำ เฮ้อ...”
“ฉันคือใคร ป้ารู้ไหม”
ถ้อยคำที่ซุนเพ่ยเหวินเอ่ยออกมาทำให้สตรีวัยกลางคนกุมขมับ แสดงออกทางสีหน้าว่าตัวเองกำลังจ้องมองตัวประหลาด ทำให้คนโดนมองอย่างซุนเพ่ยหยางรู้ตัวรีบปรับตัวรวดเร็วให้เหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสีตามสภาพแวดล้อมรอบตัว
“อะแฮ่ม ขะ ข้าเป็นใคร ข้าจำอันอันใดไม่ได้เลย ป้า ไม่สิ พี่สาวรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
“เจ้าความจำเสื่อมตั้งแต่ก่อนข้าเก็บเจ้ามาเมื่อห้าวันที่แล้ว ข้าจะไปไม่รู้ที่มาของเจ้าได้อย่างไร แต่ข้าตั้งนามเรียกเจ้าใหม่แล้ว แฮ่ม...เอาะล่ะจำนามของเจ้าเอาไว้ให้ดี...ต่อจากนี้ต่อไปเจ้ามีนามว่า ลี่อิน เป็นเด็กสาวผู้น่าสงสารที่หอนางโลมสุ่ยเซียนฮวาเก็บมาเลี้ยง”
