เริ่มวางแผนจัดการอนาคต 2
ย้อนกลับมาทางด้านจ้าวหนิงเฟิง เมื่อชายหนุ่มกลับมาถึงบ้าน เขามองดูกระต่ายในมือคล้ายกับจะตัดสินใจบางอย่าง
ก่อนจะพาพวกมันขังไว้ แล้วกลับขึ้นเขาอีกครั้งเพื่อหาไม้มาทำกรงให้พวกมัน
“ถือว่าพวกแกโชคดีนะที่ฉันไม่นำมาทำอาหาร และถ้าปล่อยพวกแกไปคงได้เป็นมื้อเย็นของใครสักคน” ใบหน้าที่มักจะเย็นชาปรากฎรอยยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย
กระต่ายเหมือนจะรู้ว่าพวกมันรอดตายก็กระโดดไม่หยุดคล้ายกับกำลังดีใจอยู่ ไม่นานสหายทั้งสองคนที่ทำงานในกองพลน้อยกลับมา
“พี่เฉิง นั่นพี่จะเลี้ยงกระต่ายเหรอ” ตงข่ายสหายร่วมเป็นร่วมตายของจ้าวหนิงเฉิงถามอย่างแปลกใจ เพราะทุกครั้งที่พี่ใหญ่ของพวกเขาหาสัตว์ป่ามาได้จะต้องลงหม้อเป็นอาหารเสียทุกครั้ง
“อืม มีคนขอไว้อย่าฆ่าพวกมันน่ะ ฉันเลยต้องเลี้ยงไว้
ในบ้านมีเนื้ออยู่พวกนายไปทำอาหารเถอะ” เขาพูดออกมาเหมือนเรื่องปกติ จนตงข่ายและจางอี้ได้แต่เกาหัวด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็เดินเข้าครัวไปทำอาหารเหมือนเดิม
ความจริงแล้วจ้าวหนิงเฉิงไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้แต่ก็เข้ามาอยู่ในฐานะยุวปัญญาชนเกือบสิบปีแล้ว วันหนึ่งได้ช่วยเหลือพ่อเฒ่าเฉิน ฝ่ายบ้านเฉินจึงรับปากว่าหากหลานสาวถึงวัยแต่งงานจะให้เป็นเจ้าสาวของเขา แต่ก่อนที่จะได้ทำตามสัญญาพ่อเฒ่าเฉินมาสิ้นใจไปเสียก่อน
ทว่าก่อนที่เขาจะหมดลมหายใจก็ไม่ลืมเรื่องนี้ ยังคงสั่งเสียภรรยาและลูกไว้ว่าอย่าลืมเรื่องการแต่งงานของหลานสาว
วันหนึ่งจ้าวหนิงเฉิงเข้าป่าแล้วเกิดพลาดท่าให้กับหมู่ป่าตัวใหญ่ ทำให้เขามีบาดแผลบนใบหน้า หญิงสาวในหมู่บ้านพากันรังเกียจ รวมถึงหลานสาวของบ้านเฉินทั้งสองคน
‘วันนี้เกิดอะไรขึ้นทำไมเธอคนนั้นถึงพูดจาเหมือนคนทั่วไป ไม่มีความรังเกียจอยู่ในนั้นเลย’
เมื่อคิดถึงใบหน้าและการกระทำของใครบางคนในวันนี้ ชายหนุ่มจึงกระตุกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจเล็กน้อย ในใจนั้นเริ่มคิดถึงบางเรื่องขึ้นมา และหวังว่าเรื่องที่ตั้งใจจะกระทำจะลุล่วงไปด้วยดี
ส่วนทางด้านของเฉินโม่หราน เวลานี้ทั้งหมดกินอาหารกันจนอิ่มแล้ว และอาหารที่เตรียมไว้ก็ไม่เหลืออะไรเลย
“นี่ค่ะ ผลไม้ล้างปาก” หญิงสาวเรียกเอาส้มและกล้วยออกมาเพื่อให้ทุกคนกินเป็นของหวาน
“ขอบใจมาก บ่ายนี้พ่อมีแรงทำงานแล้ว” เฉินคังพูดอย่างยินดี ตอนนี้ท้องอิ่มย่อมต้องมีแรงทำงานต่อในช่วงบ่าย
“นั่นสิ แม่เองก็หายเหนื่อยแล้วเหมือนกัน ว่าแต่ลูกทั้งสองคนเถอะจะเข้าเมืองวันนี้เลยเหรอ” กุ้ยเจินถามย้ำอีกครั้ง
“ค่ะแม่ ฉันจะให้พี่ใหญ่พาเข้าตลาดมืด วันหน้าฉันจะได้ไปด้วยตัวเอง หากให้ฉันทำงานในทุ่งเหมือนเดิมคงไม่ไหว”
เฉินโม่หรานรู้ดีว่าเธอไม่สามารถทำงานกลางแดดแบบนั้นได้ หากไม่มีมิติคงต้องหางานอย่างอื่นทำ หรือไม่ก็ต้องเข้าเมืองแล้วหาของไปขาย แต่นั่นก็ไม่มีทางเป็นไปได้เพราะบ้านรองของเธอไม่มีเงิน!
“ไม่ได้ หรานหรานรู้หรือไม่ว่าตลาดมืดอันตรายแค่ไหน หากเมื่อไรที่เจ้าหน้าที่รัฐหรือทหารเข้าไปตรวจค้น แล้วหนีไม่ทันจะทำอย่างไร”
เฉินหลงเปียวรีบส่ายหน้ารัว ๆ เขาไม่ต้องการให้น้องสาวเข้าเมืองไปตลาดมืดคนเดียว นั่นเพราะว่ามันอันตรายเกินไป
“แต่พี่ใหญ่อย่าลืมว่าพี่เข้าเมืองไปกับฉันไม่ได้ทุกวันหรอก เพราะนั่นจะทำให้คนอื่นและบ้านใหญ่สงสัยได้ พี่เชื่อใจฉันเถอะว่าน้องสาวคนนี้สามารถเอาตัวรอดได้ วันไหนที่พี่ว่างค่อยไปกับฉัน”
หญิงสาวไม่อยากให้คนอื่นจับผิดที่เธอและพี่ชายเข้าเมืองทุกวัน หากเมื่อไรที่แยกบ้านแล้ว จะเข้าเมืองพร้อมกันก็ไม่ใช่ปัญหา
“แต่...” เฉินหลงเปียวยังมีความลังเล
“พ่อเชื่อใจหรานหราน พ่อเชื่อว่าลูกสาวของพ่อจะต้องเอาตัวรอดได้ วันนี้ลูกก็พาน้องไปดูเส้นทางเสียก่อน วันหน้าเมื่อมีเวลาพวกเราค่อยสลับกันเข้าเมืองไปกับหรานหราน แบบนี้ก็ไม่มีใครสงสัยแล้ว”
เมื่อทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าตอบตกลง และเห็นด้วยกับความคิดของเฉินคัง
