ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย 1
ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย
หมู่บ้านหนานอี้ เมืองโจวหมิง ปี 1979
ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังลั่น แต่อย่าเรียกว่าเคาะเลยต้องเรียกว่าทุบดีกว่า
“ไม่คิดจะหุงหาอาหารหรืออย่างไร นี่ก็สว่างแล้วนะ”
เสียงเรียกของฟางอี้เหนียงหรือสะใภ้ใหญ่ของบ้านเฉินร้องเรียกอยู่หน้าห้องของบ้านรอง
“หรือว่ายังไม่มีใครตื่นคะแม่ เมื่อวานย่าตีนังโม่หรานหนักขนาดนั้น วันนี้บ้านรองคงไม่อยากออกมาทำงานหรือเปล่าคะ
ห้องนี้เงียบเชียว” เฉินเม่ยเม่ยจีบปากจีบคอพูดกับแม่ของตัวเองอย่างไม่พอใจ
ส่วนภายในห้องเวลานี้หญิงสาวที่นอนอยู่กำลังรู้สึกตัว
ทว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าเธอนั้นไม่ได้อยู่ที่ห้องตัวเอง
“ที่นี่คือที่ไหน” หญิงสาวสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อให้สมองคลายความมึนงง แต่เมื่อเธอมองรอบห้อง กลับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะห้องนี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ
“อะไรนะ!! นี่มันปี 1979”
ขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้น ภาพความทรงจำต่าง ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว ทำให้รู้ว่าเธอนั้นได้ทะลุมิติเข้ามาในนิยายที่เพิ่งอ่านไป
‘ฉันคือเฉินโม่หราน นางร้ายที่ออกมาไม่กี่ฉากก็ต้องตาย’
เธอได้แต่คิดในใจ เท่าที่จำได้ ในนิยายบอกว่าเฉินโม่หรานตายไปตอนที่ถูกย่าบังคับให้แต่งงานแทนหลานสาวสุดที่รัก
แล้วที่สำคัญคนที่เธอต้องแต่งงานด้วยนั้น เบื้องหน้าคือพรานป่า แต่เบื้องหลังคือเจ้าพ่อดี ๆ นี่เอง
‘ถ้าอย่างนั้นฉันจะแต่งงานแทนเอง ฉันจะไม่ตัดวาสนาการเป็นคุณนายไปหรอก แต่กว่าจะได้เป็นคุณนายนี่สิ จะต้องเจอกับอะไรบ้างนะ เมื่อถึงตอนนั้นเส้นเรื่องทั้งหมดคงได้เปลี่ยนไปแล้ว’
ปัง ๆ ๆ เสียงทุบประตูดังหนักขึ้นจนทำให้เฉินโม่หรานสะดุ้ง ใบหน้าของหญิงสาวฉายแววโมโหอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะรีบเดินมาเปิดประตู
“มีใครตายหรือไงถึงทุบประตูดังขนาดนี้”
สองแม่ลูกมือค้าง มองคนตรงหน้าด้วยความตกใจ
นั่นเพราะว่าไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ก็กินเวลาไปหลายนวินาที
“จะบ้าหรือไง หล่อนเป็นบ้าอะไรถึงได้มาตวาดฉันที่เป็น
ป้าสะใภ้ของหล่อน” ฟางอี้เหนียงตวาดกลับอย่างไม่พอใจ แต่กลับมีความตกใจที่เห็นหลานสาวจากบ้านรองมีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม
“นั่นสิ หล่อนบ้าไปแล้วหรือไงถึงกล้าตวาดแม่ฉัน”
คราวนี้เป็นเฉินเม่ยเม่ยที่พูด เธอเองตกใจยิ่งกว่าเห็นผีเสียอีกเพราะที่ผ่านมา เฉินโม่หรานไม่ค่อยมีปากเสียงสักเท่าไร
ส่วนเฉินโม่หรานคนใหม่ไม่ได้สนใจหรอกว่า สองคนตรงหน้าจะสงสัยไหมว่าเธอนั้นไม่ใช่เฉินโม่หรานตัวจริง แต่ตามความทรงจำแล้ว คนบ้านเฉินหาดีไม่ได้เลย แถมใช้งานบ้านรองอย่างกับทาสในเรือน
คราวนี้คงถึงเวลาที่จะต้องลุกขึ้นสู้เสียแล้ว!
“แล้วอย่างไร ป้าก็แค่สะใภ้บ้านโม่ เมียของลุงใหญ่ไม่ใช่
พ่อแม่ฉันเสียหน่อย ป้าเองก็ไม่เคยมองฉันดีสักครั้ง มีแค่ด่าและ
ข่มเหง แล้วทำไมฉันต้องยอมเหมือนเดิม” เธอสวนกลับ ก่อนจะพูดประโยคต่อมาเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายอ้าปากค้างไปแล้ว
“ว่าแต่มาที่นี่มีเรื่องอะไร หากเป็นเรื่องอาหารก็ไปทำเอง ฉันป่วย เมื่อวานนี้ทุกคนเห็นกันทั้งหมดแล้วนี่ว่าฉันโดนย่าตี
แถมยังไม่ให้เงินไปซื้อยา จบนะ”
ปัง!! เสียงปิดประตูดังขึ้นทันทีเมื่อเฉินโม่หรานพูดจบ
นี่จึงทำให้สองแม่ลูกจากบ้านใหญ่ได้สติกลับมา
“แม่ นังโม่หรานมันผีเข้าหรือเปล่า ทำไมนิสัยของมันถึงเปลี่ยนไปแบบนี้ล่ะ” เฉินเม่ยเม่ยพูดเสียงเบาจนแทบจะเป็นการกระซิบ
