
บทย่อ
ตายแล้วเกิดใหม่ทั้งที ดันมาอยู่ในร่างของคนสติไม่ดี แต่ไม่เป็นไร ชิงเหยียนโฉมใหม่จะดูแลผู้มีพระคุณเป็นอย่างดี จะขายน้ำแข็งไสเลี้ยงดูทุกคนเอง
ตอนที่ 1 หญิงสติไม่ดี
ตอนที่ 1
หญิงสติไม่ดี
หมู่บ้านหยางหมิง...หมู่บ้านชนบทที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เพราะมีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่ม รอบนอกมีผืนป่าและภูเขาอยู่ล้อมรอบ ฝนฟ้าเองก็ตกต้องตามฤดูกาล เพราะชาวบ้านทุกคนช่วยกันอนุรักษ์ผืนป่าเอาไว้ ตามคำแนะนำของหัวหน้าหมู่บ้าน
ถึงแม้ที่ดินส่วนใหญ่จะเป็นของนายทุนเจ้าของที่ดิน แต่ชาวบ้านก็ยังถือว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าหมู่บ้านอื่น ๆ ด้วยต่างพากันรับจ้างทำนา ทำสวน ช่วยดูแลที่ดิน บางส่วนก็เข้าป่าขึ้นเขาหาของป่าเข้าไปขายในตัวอำเภอ
บนถนนดินแดงทางเข้าหมู่บ้าน หญิงสาวคนหนึ่งที่มีรูปร่างบอบบางผ่ายผอมดั่งกิ่งหลิว เส้นผมพันกันยุ่งเหยิงเสียจนไม่แน่ใจว่าจะสามารถใช้หวีสางผมได้ ดวงหน้าตอบมอมแมมไปด้วยคราบดำทำให้จำเค้าโครงเดิมไม่ได้ แววตาเลื่อนลอยกวาดมองไปทั่ว ไม่ได้สนใจ จุดไหนเป็นพิเศษ เสื้อผ้าที่สวมใส่เต็มไปด้วยรอยฉีกขาด และดูเหมือนจะไม่ผ่านการทำความสะอาดมานานมากแล้ว
นางเดินตามถนนมาเรื่อย ๆ ไม่มีใครรู้ว่านางมาจากที่ไหน จุดหมายปลายทางอยู่ที่ใด พอผ่านเข้าหมู่บ้านมาได้ หากนางพบเห็นผู้ใด ก็จะรีบตรงเข้าไปหา ริมฝีปากฉีกยิ้มที่ดูประหลาดชอบกล มือข้างหนึ่งลูบไล้หน้าท้องวนไปมา เอาแต่พูดอยู่ประโยคเดียวซ้ำ ๆ
“หิวข้าว ๆ”
หญิงวัยกลางคนที่นั่งพับผ้าอยู่บนแคร่หน้าบ้านหลังแรก ที่อยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน ถึงกลับต้องย่นจมูก หลังจากได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวโชยมาเข้าจมูก ยิ่งหญิงสาวท่าทางสกปรกตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้เท่าไร กลิ่นเหม็นเปรี้ยวก็รุนแรงมากเท่านั้น จนต้องรีบยกมือขึ้น
“เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามาใกล้ข้า”
คนที่ถูกห้ามดูเหมือนจะไม่เข้าใจที่หญิงวัยกลางคนพูด ยังคงเดินเข้าใกล้ผู้ที่นั่งอยู่บนแคร่ แล้วเอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ “ข้าว หิวข้าว หิวข้าว”
“ก็บอกว่าอย่าเข้ามา ไปไกล ๆ เดี๋ยวนี้เลยนะ” เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมทำตาม เอ่ยปากไล่แล้วก็ไม่ไป นางจึงหยิบไม้กวาดขึ้นมาขู่ “ขืนยังเข้ามาอีก ข้าจะตีให้ตายเลย”
ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของหญิงวัยกลางคน แต่ท่าทีเงื้อไม้กวาดขึ้นสูง บวกกับท่าทางเอาเรื่อง ทำให้หญิงสาวเนื้อตัวสกปรกหยุดชะงักฝีเท้า ก่อนจะถอยหลังออกให้ห่าง ประโยคคำพูดเองก็เปลี่ยนไป “กลัว ๆ ตา...กลัว ยาย...กลัว”
พอเห็นว่าอีกฝ่ายกลัว เจ้าของบ้านก็ยืนขึ้นเต็มความสูง กระชับไม้กวาดในมือเอาไว้มั่น “กลัวก็รีบไปสิ”
เมื่อบ้านแรกหาของกินแล้วไม่เป็นผล หญิงสาวก็เดินจากไป เดินอย่างไร้จุดหมายปลายทาง หากเจอผู้คนก็จะเดินเข้าไปขอข้าวกิน แต่ด้วยกลิ่นตัวที่รุนแรงเหลือทน จึงมักจะถูกชาวบ้านขับไล่ ไล่ไม่ไปก็มีท่าทีเหมือนจะทำร้าย หญิงสาวก็กลัวรีบลนลานหนีไป
กระทั่งเดินมาถึงบ้านหลังหนึ่ง กลิ่นหอม ๆ โชยมาแตะจมูก ทำให้นางเดินไปทางนั้น บนเตาถ่านหน้าบ้าน มีปลาย่างตัวโตเสียบไม้กำลังย่างอยู่ สองเท้ารีบก้าวไปทางนั้นทันที และไม่รอช้าที่จะคว้าปลาย่างออกมาจากเตา ไม่รู้ว่าเนื้อปลาสุกหรือไม่สุก ความหิวทำให้นางกัดเนื้อปลากิน แม้ภายในโพรงปากจะได้ไอร้อนก็ไม่ยอมคาย
จังหวะนั้นชายเจ้าของบ้านที่ย่างปลาเอาไว้ แต่กลับเข้าไปเอาของเพียงชั่วพริบตา กลับออกมาก็เห็นคนแปลกหน้ายืนกินปลาย่างของตนท่าทางเอร็ดอร่อย ก็ให้นึกโมโห ตะโกนด่าเสียงดังลั่น
“นี้เจ้าหัวขโมย บังอาจมาขโมยปลาของข้าหรือ”
ไม่พูดเปล่ายังสอดส่ายสายตามองหาอาวุธ พอเห็นท่อนฟืนวางอยู่หน้าเตาก็หยิบขึ้นมา พร้อมสั่งเสียงเข้ม “เอาปลาข้าคืนมา”
หัวขโมยนอกจากจะไม่ยอมคืนปลาแล้ว กลับกัดกินคำโต คล้ายจะเยาะเย้ยเจ้าของปลา จนมือที่ถือไม้สั่น ไหล่ของชายฉกรรจ์สั่นเทาด้วยความโกรธจนควบคุมไม่อยู่
“เจ้านี้รนหาเรื่องเจ็บตัวเสียแล้ว”
สองเท้าย่างสามขุมเข้าหาหัวขโมย มือที่ถือท่อนฟืนง้างขึ้นสูง แววตามุ่งมาดอาฆาตมาดร้าย
“กลัว ๆ”
สิ่งเดียวที่หญิงสาวรับรู้ คือแรงอาฆาตจากดวงตาคู่นั้น ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน สองเท้าขยับถอยหลัง แต่มือยังไม่ยอมปล่อยปลาย่างที่กินหมดไปเกินครึ่ง ยิ่งฝ่ายนั้นเร่งความเร็วในการเข้าหา นางก็ยิ่งเพิ่มความเร็วในการถอยหนี สุดท้ายก็หมุนตัวออกวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีชายเจ้าของปลาย่างไล่กรวดตามหลังมาติด ๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ...ช่วยด้วย ช่วยข้าจับหัวขโมยด้วย” ไม่วิ่งไล่ตามเปล่า ๆ ชายผู้นี้ยังตะโกนไปตลอดทางให้ชาวบ้านออกมาช่วยจับหัวขโมยเอาไว้
แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครตามหญิงสาวแปลกหน้าที่เข้ามาป่วนในหมู่บ้านได้ “หายไปไหนแล้ว วิ่งเร็วเหลือเกิน” ชายเจ้าของปลาพูด
“ไม่รู้นางเป็นใครมาจากไหน ข้าถามอะไรก็ไม่ตอบ เอาแต่พูดว่าหิวข้าว ๆ”
“กลิ่นตัวของนางเหม็นจนน่าสะอิดสะเอียน”
“ข้าสังเกตแววตาของนาง ไม่เหมือนกับแววตาของพวกเรา ข้าว่านางน่าจะสติไม่สมประกอบ” เสียงชาวบ้านที่มาช่วยวิ่งไล่จับพูดถึงหญิงสาวแปลกหน้า
โดยผู้ที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนา นั่งแอบหลบอยู่ข้างโอ่งหลังบ้านของชาวบ้านคนหนึ่ง นั่งกัดกินปลาอย่างเอร็ดอร่อย ไม่สนใจสิ่งใดอีก
ระหว่างที่หญิงสาวกัดกินเนื้อปลาคำสุดท้ายนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินย่อง ๆ เข้ามาหา พอเห็นหญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมามอง แล้วมีท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ก็รีบยื่นกระบอกน้ำไปให้ เอ่ยเสียงนุ่มออกมา
“ไม่ต้องกลัวข้าเอาน้ำมาให้” เมื่อเห็นแววตาของหญิงสาวเหมือนไม่เข้าใจ ก็ยกกระบอกน้ำขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก ทำเหมือนเป็นตัวอย่างให้ดู
พอหญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็รีบคว้ากระบอกไม้ไผ่ ขึ้นมากระดกน้ำกิน จนน้ำไหลหกออกมาเปียกชุ่มลำคอไปหมด
ชายหนุ่มนั่งยองลง ดวงตาจับจ้องมองใบหน้าของหญิงสาว “ค่อย ๆ ดื่มเดี๋ยวก็สำลักหรอก”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวคลายความหวาดกลัวลงไปบ้างแล้ว ก็เริ่มขยับเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม ใบหน้าหันมองซ้ายมองขวา จุดนี้เป็นมุมอับสายตา หากชาวบ้านไม่เดินมาตักน้ำในบ่อ ก็จะไม่มีใครรู้เห็นในสิ่งที่เขากำลังจะลงมือทำ
“แม่นางคนงาม เจ้าไม่กลัวข้าแล้วใช่หรือไม่”
หญิงสาวเอียงคอมองชายตรงหน้า ที่เริ่มขยับเข้ามาใกล้จนตัวชิดติดกันด้วยดวงตาใสแป๋ว แววตาสีน้ำตาลคู่นั้นใจจดใจจ่อ ว่าคนแปลกหน้าใจดี จะมีของกินอะไรมาให้อีก
คงจะมีแต่ชายผู้นี้กระมัง ที่แอบสังเกตเห็นเค้าโครงความงามซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้ามอมแมมสกปรก ความจริงเขาคอยตามหญิงผู้นี้มาตั้งแต่ปากทางเข้าหมู่บ้านแล้ว แต่ยังหาโอกาสเข้าใกล้แบบนี้ไม่ได้
มือหนายกขึ้นมาจับท่อนขาอ่อนของหญิงสาว เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะขัดขืนก็ยิ่งได้ใจ ขยับเลื่อนมือขึ้นสูงไปอีกเรื่อย ๆ รอยยิ้มกระหยิ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้า ลมหายใจเริ่มกระเส่า แม้กลิ่นตัวจะรบกวนอารมณ์ปรารถนาไปบ้าง แต่ไฟราคะมีมากกว่า เลยไม่คิดจะหยุดการกระทำ จากที่แค่มือสัมผัส ใบหน้าก็เริ่มโน้มข้าไปใกล้ใบหน้าของหญิงสาว จนอีกนิดเดียวริมฝีปากจะแตะสัมผัสกันอยู่แล้ว ถ้าไม่มีเสียงเข้มของใครบางคนขัดขึ้นมาก่อน
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
ชายหนุ่มที่มีไฟราคะอยู่ในแววตา ถึงกลับรีบผละออกขยับลุกขึ้นยืนอย่างเร็ว กล่าวแก้ตัวจนลิ้นพันกันไปหมด “ไม่ได้...ไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย”
“จริงหรือ ข้าเห็นนะ ว่าเจ้ากำลังจะทำอะไร ต้องให้ข้านำเรื่องนี้ไปสอบถามกับภรรยาเจ้าหรือเปล่า ว่าเจ้าคิดจะทำอะไรแม่นางผู้นี้”
ชายหนุ่มผู้คิดไม่ซื่อ แม้แต่กับผู้หญิงสติไม่ดี รีบส่ายหน้าอย่างแรง มือไม้ก็โบกไปมา “อย่า...อย่าเลยหยวนเจี๋ย ข้ายอมรับก็ได้ ว่าปล่อยให้อารมณ์ครอบงำคิดจะทำมิดีมิร้ายนาง แต่ตอนนี้ข้าสำนึกผิดแล้ว ได้โปรดอย่านำเรื่องนี้ไปบอกภรรยาของข้าเลยนะ ข้าขอร้องละ”
‘เฉินหยวนเจี๋ย’ เองก็เห็นหญิงสาวแปลกหน้าท่าทางเหมือนคนสติไม่ดีถูกชาวบ้านวิ่งไล่ตามจับ แล้วแอบมาหลบอยู่ตรงนี้ เลยตั้งใจเอาข้าวใส่ใบตองมาให้ แต่ดันมาเจอชายผู้นี้กำลังจะทำในสิ่งไม่ดี เลยรีบเข้ามาขัดขวางเสียก่อน
“ก็ได้ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่อย่าให้มีครั้งหน้า ข้าไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่”
ชายหนุ่มคนนั้นไม่รอช้า รีบวิ่งหนีกลับบ้านของตนเองไป ส่วนหยวนเจี๋ยก็เดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าหญิงสาวที่ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่อง ว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย มือที่ถือห่อข้าวยื่นออกไปตรงหน้าหญิงสาว
“อิ่มหรือยัง กินนี้อีกสิ ข้าเอามาให้”
หญิงสาวผู้นั้นจ้องมองห่อข้าวตาเป็นประกาย รีบคว้าเอาไปแกะห่อออก ใช้มือจับข้าวเข้าใส่ปากคำโต
ส่วนคนให้ก็ลอบมองสำรวจสภาพเนื้อตัวของหญิงสาวดี ๆ จนสังเกตเห็นรอยฟกช้ำ รอยคล้ำที่ถูกคราบสกปรกปิดทับเอาไว้ ดูเหมือนว่าที่ผ่านมา นางจะถูกทำร้ายร่างกายเป็นประจำ อาจจะถูกคนในครอบครัวทำร้ายจนหนีมา ไม่ก็ถูกชาวบ้านที่นางไปขโมยของกินทำร้ายเอา
หากปล่อยให้นางใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่นานหรอก นางได้ถูกชาวบ้านรุมตีตาย ไม่ก็ถูกคนไม่ดีข่มเหงเอา ด้วยความสงสารเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เขาคงปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้แน่ “ไปอยู่กับข้า ข้าจะดูแลเจ้าเอง” ...
