บทที่1 เสี่ยวซีเอ๋อ
“เด็กๆ!! ตื่นได้แล้วจ้ะ”
ลู่หยวนซีพลิกผ้าห่มดึงออกจากร่างเล็กของเด็กหญิงอายุราวห้าหกขวบ สี่คนที่นอนเรียงกันอยู่บนเตียง
“พี่หยวนซี วันนี้เป็นวันหยุดนี่คะ ทำไมต้องรีบตื่นแต่เช้าขนาดนี้”
เด็กหญิงตัวเล็กที่สุดงัวเงียลุกขึ้นนั่ง ก่อนหันไปพูดกับพี่สาวทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตา ร่างบางในชุดผ้ากันเปื้อนสีชมพู ผูกผมหางม้าเอาไว้หลวมๆ ที่ด้านหลัง ยกยิ้มอย่างใจดีก่อนจะดันตัวเด็กทั้งสี่คนให้ลุกขึ้น
“ลืมแล้วหรือว่าวันนี้เป็นวันครบรอบสิบแปดปีของการก่อตั้งบ้านเด็กกำพร้าฉือชุน เอาล่ะ รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว พี่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แล้วรีบไปล้างหน้าล้างตานะจ๊ะ”
เด็กหญิงสี่คนพยักหน้ารับ ก่อนทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย หลังจากเปลี่ยนชุดใหม่ให้ทุกคนเสร็จแล้ว เธอยังเดินเข้าไปในห้องอีกหลายห้อง เพื่อปลุกน้องๆ ที่อยู่ในความดูแลของบ้านเด็กกำพร้าฉือชุนทุกคน
ลู่หยวนซีเป็นเด็กคนแรกที่อยู่มานานที่สุด ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบ้านเด็กกำพร้าขึ้น จุดประสงค์ของผู้ก่อตั้งก็เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่ไร้ที่พึ่งพิง
สิบแปดปีก่อน เด็กทารกหญิงวัยสองเดือนถูกพบในกล่องไม้ใต้ซากตึกที่พังถล่มลงมาเพราะแผ่นดินไหว ข้างกล่องยังพบร่างชายหญิงอายุราวยี่สิบกว่าปีสองคน ถูกอิฐถล่มลงมาทับขณะกำลังนั่งกอดกล่องไม้เอาไว้ หน่วยกู้ภัยคาดว่าทั้งสองอาจจะเป็นพ่อและแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอนั่นเอง
หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ สิบแปดปีต่อมาทารกหญิงที่ถูกส่งตัวไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้เติบโตขึ้น ที่นั่นยังมีเด็กอีกหลายคนที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปเพราะภัยพิบัติทางธรรมชาติ ฟางฉือหนิง หรือที่เด็กๆ ในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าเรียกเธอว่า ผอ. ฟาง ได้ก่อตั้งมูลนิธิบ้านเด็กกำพร้าฉือชุนขึ้น เพราะเธอเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัวไปเพราะเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนั้น
เด็กกำพร้าหลายคนที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ต่างออกไปใช้ชีวิตตามที่ตนต้องการอยู่ในเมืองใหญ่ ส่วนลู่หยวนซีที่พึ่งเรียนจบมัธยมปลาย เธอมีความประสงค์ที่จะอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าฉือชุนต่อเพื่อช่วยผอ.ฟางดูแลน้องๆ ทั้งที่ในใจของเธอนั้นต้องการที่จะเรียนต่อมหาวิทยาลัย
แต่ที่นี่ยังมีเด็กอีกหลายคนที่ต้องเรียนหนังสือ และค่าใช้จ่ายที่ ผอ.ฟางต้องแบกรับนั้นก็มากมาย เธอจึงตัดสินใจยุติการเรียนมหาวิทยาลัยของเธอเอาไว้เพียงเท่านั้น จากนั้นจึงหางานทำเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับน้องๆ คนอื่น
งานเลี้ยงเล็กๆ ถูกจัดขึ้นภายในห้องโถง ผอ.ฟาง หญิงชราในวัยห้าสิบห้าที่ช่วงนี้ร่างกายผ่ายผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัดเพราะอาการป่วย ก้าวออกมายืนข้างหน้าเพื่อกล่าวบางอย่างกับเด็กๆ
“สวัสดีจ้ะเด็กๆ ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่ฉือชุนแห่งนี้ วันนี้เป็นวันครบรอบสิบแปดปีที่ก่อตั้งบ้านเด็กกำพร้าขึ้น และทุกปีฉันก็จะพูดเหมือนเดิมทุกครั้ง คือถึงแม้พวกเธอที่อายุยังน้อยจะไม่รู้ว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อสิบแปดปีก่อนนั้นร้ายแรงเพียงใด แต่ทุกคนคงจะทราบดีถึงเหตุผลที่ฉันก่อตั้งบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ขึ้น วันนี้ถือเป็นวันที่พวกเราจะมาร่วมกันรำลึกถึงผู้ที่จากไปในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวญาติพี่น้อง หรือคนรู้จัก เอาล่ะทุกคนประสานมือเอาไว้ที่หน้าอกแล้วหลับตาลง”
เด็กๆ กว่าร้อยคน ต่างก็ทำตามที่ผอ.ฟางสั่งอย่างว่าง่าย ลู่หยวนซีเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอยืนหลับตาสงบนิ่งรำลึกถึงพ่อแม่ที่ใช้ชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องเธอให้มีชีวิตรอด แม้จะไม่รู้ว่าหน้าตาของพวกเขาเป็นอย่างไร แต่เธอก็รู้สึกขอบคุณที่ทั้งสองให้กำเนิดเธอและปกป้องเธอจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ตุ๊บ!!!
เสียงบางอย่างหล่นกระทบพื้น ทำให้ลู่หยวนซีจำต้องลืมตาขึ้นมอง ร่างของ ผอ.ฟางที่เคยยืนอยู่เบื้องหน้าของเธอเวลานี้กำลังล้มอยู่ในท่าตะแคง ลู่หยวนซีรีบพุ่งเข้าไปประคองหญิงชราขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
“ผอ.คะ!!! ผอ.!!!คุณเป็นอะไรไป หลันหลันรีบโทรเรียกรถฉุกเฉินเร็วเข้า”
เด็กหญิงอายุราวสิบสี่สิบห้ารีบทำตามที่ลู่หยวนซีสั่งด้วยความลนลาน หลังจากที่รถฉุกเฉินนำร่างหมดสติของผอ.ฟางไปส่งยังโรงพยาบาลประจำเมืองแล้ว ลู่หยวนซีก็สั่งให้เด็กโตดูแลน้องๆ ก่อนที่เธอจะรีบตามไปดูอาการของผอ.ฟางที่โรงพยาบาล
“คุณหมอคะ ผอ.ฟางเป็นยังไงบ้าง หนูเป็นเด็กในความดูแลของเธอค่ะ”
ลู่หยวนซีที่นั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินรีบเดินเข้าไปถามคุณหมอ หลังจากที่เขาเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน
“อาการของเธอไม่ดีนัก ตอนนี้คงต้องให้ยาเพื่อระงับอาการและรอดูอาการไปก่อน แต่หมอก็อยากให้คุณทำใจเอาไว้บ้าง เพราะตอนนี้มะเร็งได้ลุกลามไปทั่วอวัยวะภายในของคนไข้หมดแล้ว”
“ห๊ะ!!! มะเร็งหรือคะ!!! จะเป็นไปได้ยังไง”
