บทที่10 บัวหิมะ
ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วและอีกไม่กี่วันที่โจวมี่จะต้องกลับเข้าไปทำงานในอำเภอ หนึ่งอาทิตย์มานี้ ช่วงเช้าทุกคนจะพากันไปเก็บฟืนมาไว้ใช้ ส่วนแปลงผักนั่นกำลังเตรียมดินอยู่จึงต้องพักในส่วนนี้ไป
ห้องครัวเก่าที่ตอนนี้กลายมาเป็นห้องเก็บฟืนนั้นมีขนาดกว้าง ไม่มีโต๊ะหรือเตียงในห้องจึงทำให้ห้องครัวกว้างมาก
ฟืนที่อยู่ในห้องเก็บฟืนถูกฟันเป็นท่อนวางซ้อนกันจนเต็มไปหมด ระหว่างที่เข้าป่าไปเก็บฟืน เหอเสี่ยวหงยังได้โสมคนอีกหลายร้อยต้น ยังมีเห็ดหลินจืออีกหลายร้อยดอกเช่นเดียวกัน
เห็ดหลินจือถูกนำไปล้างแล้วผ่าตากแดดเกือบครึ่ง ส่วนที่เหลือเธอเก็บเข้ามิติ โสมคนก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่จะล้างแล้วนำไปตากแดด
ตั้งแต่ขุด ล้าง ผ่า ตากแดด และเก็บเป็นเหอเสี่ยวหงทำเองทั้งหมดไม่ให้ใครช่วยเลย
ส่วนไก่ป่าทั้งสองตัวเหอเสี่ยวหงเห็นว่ามันออกไข่วันละหลายฟองจึงปล่อยมันไว้และให้อาหารอย่างพวกมะละกอสุกในมิติ ไม่ก็ข้าวขาว ผสมกากผลไม้หรือพวกเปลือกข้าว
เด็ก ๆ ก็ยังคงเรียนหนังสือจากเหอเสี่ยวหง ตอนนี้โจวเอ้อร์นีนั้นท่องตัวอักษรได้แล้วแต่ยังเขียนผิดนิดหน่อย
ส่วนโจวซานนีอ่านและเขียนตัวอักษรได้เกือบทั้งหมดแล้ว
โจวอู๋นีที่เพิ่งเขียนจากสามสี่ตัวอักษร ตอนนี้เขียนตามได้เกือบทั้งหมดแล้ว
ส่วนโจวลิ่วนี หล่อนคัดได้ห้าตัวอักษรแล้ว และยังมีภาษาอื่น ๆ อีกที่เหอเสี่ยวหงเขียนให้ดูหล่อนชอบมาก
“จักรเย็บผ้านี่พี่ก็ซื้อมาจากที่นั่นหรอคะ” โจวมี่ถาม
“ใช่ เห็นว่ามันเป็นรุ่นนำเข้าน่ะ น้ำหนักมันเบาฉันเลยซื้อมา” เหอเสี่ยวหงพยักหน้า
“ต้องเย็บดีมาก ๆ แน่เลยค่ะ!” โจวมี่ลูบดู
ตอนนี้เหอเสี่ยวหงอยู่ในห้องเย็บผ้าของเธอ โจวมี่น้องสามีของเธอนึกคึกหรืออย่างไรก็ไม่รู้ อยากเห็นจักรเย็บผ้าที่เธอซื้อมา
“ใช่”
โจวมี่ลูบคำจักรเย็บผ้าอย่างไม่เคยเห็น จักรเย็บผ้าในโรงงานเย็บผ้านั่นหนักมาก ไม่สามารถยกไปไหนมาไหนได้
ส่วนจักรเย็บผ้าของเธอถูกแยกบางอย่างออกเพราะมันหนักเกินไปมันไม่สามารถใส่รถมาได้ บางส่วนจึงอยู่ในห้องพักที่ทางโรงงานจัดหาให้
โชคดีที่ห้องนี้ไม่มีเตียงเตาเพราะยังทำไม่เสร็จ แต่ก็มีตู้เล็ก ๆ เหอเสี่ยวหงจึงวางจักรเย็บผ้าได้
“วันนี้พี่จะไปเอาผ้านวมใช่ไหม ให้ฉันไปด้วยได้ไหมคะ!” โจวมี่เอ่ยอย่างตื่นเต้น
“ฝันไปเถอะ! เธอก็รู้ว่าฉันไปเอามาแต่ไหน” เหอเสี่ยวหงปฏิเสธ
หากเธอมีช่องทางเอาของมาจริง ๆ เธอก็ให้ไปด้วยได้ แต่นี่เอาออกมาจากมิติของเธอจึงไม่สามารถให้ไปด้วยได้
“ตะ...แต่ ให้ฉันรอข้างนอกก็ได้นะคะ!” โจวมี่ว่า
“เธอก็รู้ไม่ใช่หรอ ถ้าคนเยอะแล้วทหารแดงเจอมันจะเป็นยังไง!” เหอเสี่ยวหงยังคงปฏิเสธ
“หากเพื่อนฉันปฏิเสธ เธอก็จะไม่ได้ผ้านวม” เหอเสี่ยวหงพูดต่อ
“ฉันอยากไปซื้อของให้ลูกนี่” โจวมี่เอ่ยแผ่วเบา
“งั้นฉันให้เธอไปด้วยได้ แต่อย่าเข้าไปกับฉัน” เหอเสี่ยวหงคิดก่อนจะพยักหน้าบอก
“ได้ค่ะ!”
ช่วงเจ็ดโมงเช้าแสงเริ่มส่องบ้างแล้วเหอเสี่ยวหงจึงฝากเด็ก ๆ ไว้กับสะใภ้ใหญ่เหมือนเดิม โจวมี่ก็เช่นกัน ทำให้วันนี้ทุกคนไม่ได้ไปหาฟืนหรือปลูกผัก
เหอเสี่ยวหงให้โจวมี่ปั่นจักรยานส่วนเธอนั่งซ้อนข้างหลัง เนื่องจากเป็นผู้ใหญ่ทั้งสองคนรถจึงเคลื่ิอนช้าลง
‘ฉันต้องเอาจักรยานออกมาได้แล้ว’ เหอเสี่ยวหงคิดในใจ
อีกสามวันโจวมี่จะเข้ามาทำงานในโรงงานเย็บผ้าและพักในห้องที่ทางโรงงานจัดแบ่งให้ ในวันหยุดหล่อนถึงจะกลับบ้าน
“พวกชาวบ้านนี่จริง ๆ เลย” เหอเสี่ยวหงบ่น
เมื่อเห็นพวกนางปั่นจักรยานผ่านทางจะออกจากหมู่บ้าน พวกชาวบ้านก็นินทามาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ถึง
ก่อนจะปั่นจักรยานเข้าอำเภอทางผ่านก็คือแปลงนา ตอนนี้คาดว่าไม่เกินอาทิตย์นี้ก็คงเสร็จแล้ว
หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จทางหน่วยผลิตคอมมูก็จะแจกจ่ายส่วนแบ่งตามแต้มแรงงานที่ทำ หากบ้านไหนไม่ลงแปลงนาก็จะไม่ได้ส่วนแบ่ง อย่างนางหลี่ซือการเก็บเกี่ยวฤดูนี้นางไม่ได้ลง
ใกล้ต้นเดือนกันยายนแล้วเหอเสี่ยวหงจึงให้โจวมี่ปั่นจักรยานไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อดูว่าลงของหรือยัง
และก็ช่างโชคดีที่เหอเสี่ยวหงมาทัน ของเพิ่งลงชั้นวางของและยังไม่มีใครเข้ามาในห้างสรรพสินค้า ทำให้ครั้งนี้เหอเสี่ยวหงมาทัน
“เธอไปดูของสิ”
“รอฉันหน่อยนะคะ”
เหอเสี่ยวหงพยักหน้า
เดินดูรอบ ๆ แล้วของส่วนมากจะเป็นธัญพืชและเสื้อผ้า แต่ของแต่ละอย่างต้องใช้คูปองแล้วยังต้องเพิ่มเงินอีก ของในห้างสรรพสินค้ามีราคาแพงกว่าในสหกรณ์หมู่บ้านและตำบลแต่มีของเยอะกว่า และในสหกรณ์สามารถแลกเปลี่ยนของได้
เหอเสี่ยวหงเอาข้าวขาวยี่สิบชั่งเพราะข้าวที่บ้านนั่นหมดแล้ว และต้องใช้คูปองอีกเกือบสิบใบกับเงินอีก 5 หยวน
เหอเสี่ยวหงเห็นโจวมี่ซื้อแอปเปิลเขียวที่ผลเล็กกว่าในมิติเธอก็ไม่ได้พูดอะไร แถมยังซื้อพุทราอีก 1 ชั่ง
ส่วนของอย่างอื่นเธอไม่ได้ดู แต่ได้ยินว่าหมดไปเกือบ 5 หยวนเลยทีเดียว แต่หากเทียบกับของที่เธอซื้อและที่โจวมี่ซื้อ หลายคนจะบอกว่าเลือกซื้อตามโจวมี่ดีกว่า
“ปั่นไปจอดที่ซอยทิศตะวันออก” เหอเสี่ยวหงกระซิบ
“ได้ค่ะ” โจวมี่ตอบ
ร้านต่าง ๆ ยังคึกคักเช่นเคยในตลาดมืดแห่งนี้ หลังจากปั่นจักรยานมาจอดเหอเสี่ยวหงก็บอกโจวมี่ไปรอที่สหกรณ์อำเภอเพราะเดี๋ยวเธอจะตามไปทีหลังและให้เช่าเกวียนวัวไว้ด้วย โจวมี่รับรู้และปั่นจักรยานออกไปทันที
ครั้งนี้เธอไปยืนอยู่จุดเดิมที่เคยไปขายของ หยิบสบู่สูตรทดลองออกมาร้อยกว่าก้อน ใส่ตะกร้าสะพายข้างหลังที่เธอเก็บใส่มิติเอาผ้ามาปิดไว้ข้างบน
สบู่ที่เหอเสี่ยวหงเอาออกมาถึงแม้จะบอกว่าเป็นสบู่ทดลองแต่มันใช้ดีมากและเป็นสบู่เกรดดีแค่กลิ่นมันยังไม่ถูกใจเหอเสี่ยวหง จึงต้องผสมใหม่จนกว่าจะได้กลิ่นที่พึงพอใจ
สบู่เป็นก้อนวงกลมเนื้ออัดแน่นเต็มไปด้วยสรรพคุณต่าง ๆ
ต้องบอกว่าเหอเสี่ยวหงเรื่องมากจริง ๆ สบู่ที่เธอได้ทำเป็นตัวทดลองมันสรรพคุณเดียวกันกับสบู่ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ผิดแค่คนละกลิ่นเท่านั้น
วันนี้เธอใส่ชุดเดิมมาเพราะเผื่อลูกค้าเก่าเห็นแล้วต้องการซื้อสบู่อีก ยังคงปิดหน้าด้วยผ้าคลุมหน้า
“คนที่ขายสบู่ให้ฉันอาทิตย์ที่แล้วใช่ไหมจ๊ะ!” เสียงของผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่งพูดขึ้น
“โอ้! ใช่ค่ะ ฉันขายสบู่” เหอเสี่ยวหงกระซิบเสียงเบา
“วันนี้เธอได้นำมันมาอีกไหมจ๊ะ ฉันต้องการอีกหลายก้อนเลย!” นางพูดขึ้น
รอบก่อนนางได้ซื้อสบู่ไปสองก้อน แบ่งให้สะใภ้สามคนใช้คนละครึ่งรวมนางเป็นสี่คน ใช้เพียงครั้งแรกกลิ่นก็ติดเกือบทั้งวัน!
ส่วนสะใภ้นั้นแต่ก่อนก็ไม่เคยชอบแม่สามีอย่างนาง พอให้สบู่ของแม่ค้าตรงหน้าไปใช้ตอนนี้ไม่ว่านางจะทำอะไรนางก็แทบไม่ได้แตะ!
“มีค่ะ แต่วันนี้ฉันได้กลิ่นใหม่มา” เหอเสี่ยวหงรีบบอก
“กลิ่นใหม่หรอ? มันหอมเหมือนกันหรือเปล่า” คุณป้าคนนั้นพูดขึ้น
“หอมเหมือนกันค่ะ แต่กลิ่นมันคนละอย่าง แต่วันนี้ 5 ก้อน 13 หยวนค่ะ” เหอเสี่ยวหงบอก
“ได้! ฉันเอา 10 ก้อนเลย!” คุณป้ารีบสั่ง
“ทั้งหมด 26 หยวนค่ะ แต่ฉันลดราคาให้ไม่ได้จริง ๆ นะคะ ราคาค่อนข้างสูง” เหอเสี่ยวหงกระซิบ พร้อมทั้งหยิบสบู่ใส่ตะกร้าให้
“ฉันรู้ ๆ ” คุณป้าพยักหน้า
เวลาผ่านไปเหอเสี่ยวหงขายไปมากกว่าร้อยก้อนแล้วและยังทำเงินได้อีกเกือบ 300 หยวน
รวมกับเงินที่มีตอนนี้เธอมีเงินมากถึง 2,504 หยวน! นับว่ามากพอสำหรับคนในยุคนี้
เหอเสี่ยวหงเก็บของและเดินดูของในตลาด บางคนถึงกับตั้งโต๊ะ บางคนปูแค่ผ้า บางคนนั้นใส่ตะกร้าไว้ แต่บางคนนั้นหิ้วตะกร้าเดินไปมาเหมือนกับเธอ
คนคึกคักแต่ไม่ได้เสียงดังและไม่ได้เบียดกันมากนักเหอเสี่ยวหงจึงเดินดูของได้อย่างสบายใจ
‘บัวหิมะ?’ เหอเสี่ยวหงเดินเข้าไปดู
บัวหิมะปลูกอยู่ในมณฑลยูนนานซึ่งห่างกับมณฑลส่านซีหลายพันลี้ นาน ๆ ทีจะมีบัวหิมะสักครั้ง
“คุณลุงค่ะ เจ้าบัวหิมะนี่ขายยังไงเหรอคะ” เหอเสี่ยวหงถาม
“โอ้! คุณรู้จักหรอ? ชั่งละ 1 เหมาเท่านั้น ทั้งหวานทั้งกรอบ” คุณลุงบอกอย่างตื่นเต้น
เขาได้เดินทางไปยังยูนนานเมื่อไม่นานมานี้ เห็นบัวหิมะจึงซื้อกับมาเกือบห้าสิบชั่ง ภรรยาเขากลับต่อว่าเขาว่าซื้อดินมาทำไม! เพราะพวกเขาล้างหลายสิบน้ำก็ไม่สะอาด
เมื่อเห็นดังนั้นภรรยาจึงให้เขาเอาบัวหิมะมาขายและชาวบ้านที่นี่ไม่มีใครรู้จัก เมื่อวานมาขายแล้วทั้งลดราคา ทั้งแถมแต่ก็ยังขายไม่ได้ วันนี้จึงเอามาขายอีก คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีคนสนใจและรู้จักมัน
“ฉันเอาทั้งหมดค่ะ” เหอเสี่ยวหงบอก
บัวหิมะนั้นผลเล็ก แต่เหอเสี่ยวหงเคยกินในโลกอนาคตแล้ว ยิ่งลูกเล็กยิ่งหวาน
“ได้ ๆ! ฉันให้ 4 หยวน 5 เหมาเลย!”
เมื่อได้ของแล้วเหอเสี่ยวหงก็แบกของออกจากตลาดมืดหาซอยที่ไม่มีคนอยู่เก็บบัวหิมะเข้ามิติ จากนั้นเอาจักรยานออกมา 1 คัน และปั่นไปหาโจวมี่ที่สหกรณ์อำเภอ
“โอ้! พี่เอาจักรยานมาจากที่ไหน”
โจวมี่ที่เห็นพี่สะใภ้คนรองปั่นจักรยานกลับมาถึงกลับร้องอย่างตกใจ จักรยานหนึ่งคันต้องใช้เงินมากถึงสามร้อยกว่าหยวนและต้องมีคูปองเฉพาะถึงจะสามารถซื้อได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามีแล้วจะสามารถหาซื้อได้ ต้องหาซื้อกับคนที่รู้จักคนใหญ่คนโตเพราะเขาจะสามารถเอามาให้ได้
ที่หล่อนมีจักรยานอยู่ก็เพราะบ้านของสามีเก่าของหล่อนมีเส้นสายในการหาซื้อ ไม่เช่นนั้นในชีวิตนี้หล่อนก็คงไม่มีโอกาสได้ปั่นจักรยาน
“คนรู้จักของฉันเอามาให้ เธอรู้จักคนลงทะเบียนจักรยานหรือเปล่า?” เหอเสี่ยวหงกระซิบเสียงเบา
โจวมี่พยักหน้า หล่อนแต่งเข้าบ้านสามีมาหลายปี จึงไม่แปลกที่จะมีเส้นสาย หรือรู้จักคนใหญ่คนโตในอำเภอ
“เธอเอามันไปลงทะเบียนให้ฉันหน่อยสิ! ฉันจะไปเอาผ้านวมมาด้วย” เหอเสี่ยวหงกระซิบอีกรอบ
“ได้!” โจวมี่ว่าก่อนที่จะนำจักรยานคันใหม่ของเหอเสี่ยวหงไปด้วย
