ตอนที่ 8 ของฝากจากแดนไกล (1)
นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เรือนเล็กทรงยุโรปสีเทาแม้เก่าไปตามกาลเวลาทว่าความร่มรื่นที่โอบล้อมด้วยต้นไม้ และดอกไม้งามที่ผลิบานสะพรั่งเต็มต้นทำให้บรรยากาศโดยรอบสดชื่น ผืนดินรกร้างถูกยกร่องเป็นแปลงผักสวนครัวนานาชนิด และตัวเรือนแม้ถูกต่อเติมออกไปบ้าง โดยเจ้าของเรือนพยายามอย่างยิ่งที่จะคงเค้าโครงเดิมไว้ให้มากที่สุด วันนี้เมฆตั้งเค้าครึ้มฟ้าครึ้มฝนมาแต่ไกล
เสียงฝีเท้าใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามาตามทางเดินลาดปูด้วยกระเบื้องหินสู่เรือนเล็กอย่างกระหืดกระหอบ ฝนที่เริ่มจะลงเม็ดหนักขึ้นทำให้ต้องเร่งฝีเท้าขึ้น หากกระโปรงทรงสอบและสัมภาระที่ส่วนใหญ่คือหนังสือเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวไม่น้อย และพอถึงตัวเรือน มือขาวนวลก็รีบผลักประตูเปิดกว้างเข้าไป และถูกแรงลมภายในดันปิดโครมใหญ่จนคนนั่งคอยอยู่สะดุ้งโหยง
“ว้าย ตาเถรหกคะเมนคว่ำ” หญิงสูงวัยอุทานลั่น รีบหันขวับไปมองต้นเหตุแห่งเสียงที่ยืนหอบตัวโยนพลางส่งยิ้มแหยๆ ให้
ร่างโปร่งระหงในชุดนักศึกษาที่โดนฝนจนเปียกลู่แนบเรือนร่าง ทำให้เห็นทรวดทรงองค์เอวอรชรงดงาม ดวงหน้ารูปไข่สวยใสไร้รอยเครื่องสำอางแต้มแต่ง ดวงตามันระยับล้อมกรอบด้วยขนตาหนาเป็นแพ หวานซึ้งปนโศกคู่งามนั้นกะพริบถี่ๆ ไล่ละอองฝนที่เกาะชื้น ผมเปียที่ยาวจดกลางหลังหลุดลุ่ย ยามสะบัดออกจึงเห็นเป็นลอนสลวย ดรุณีน้อยที่ยืนเบื้องหน้ายามนี้แทบไม่เหลือเค้า เด็กหญิงตัวมอมผอมโกรกในวันวาน
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจค่ะ รีบไปนิด ” เสียงหวานใสกังวานขึ้น ริมฝีปากอิ่มแย้มละไมให้สตรีสูงวัยกว่าอย่างประจบ ท่วงท่ายามย่างกรายเข้ามาปราดเปรียวชวนมองไม่น้อย หากคนมองกลับส่ายหน้าเบาๆ
“เปียกฝนเหมือนลูกหมาตกน้ำไม่มีผิด” คนเหมือนลูกหมาตกน้ำคลี่ยิ้มบางๆ พลางวางสัมภาระทั้งหมดลงบนโต๊ะรับแขกอย่างเป็นระเบียบ ก่อนยกมือไหว้คนสูงวัยกว่าตามที่เคยถูกสอนเสมอ ‘ไปต้องลา มาต้องไหว้’ มารยาทที่ถูกปลูกฝังมาแต่เล็กแต่น้อยขัดเกลาให้กิริยามารยาทเรียบร้อย
“คุณท่านเข้าห้องไปแล้วหรือคะ”
“ค่ะ เพิ่งเข้าไปเมื่อกี้นี้เอง ก่อนคุณมาครู่เดียว”
“โอ้ย... เหนื่อยจังค่ะ” ว่าแล้วร่างบางทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ
“วันนี้ทำไมกลับค่ำนักละคะ”
“ก็ยัยตรีน่ะสิคะ ยึดตัวไว้จะให้เข้าประชุมชมรมให้ได้ ปีนี้เขาว่าจะจัดแสดงละครเวที งานนี้คุณตรีรักษ์รับเป็นแม่งานเชียวนะคะ เลยต้องเข้าประชุมกับเขาเกือบทุกวัน แต่พรุ่งนี้ทรายว่าจะแอบโดดล่ะ...” สุ้มเสียงคนพูดมีรอยสนุกซุกซน
“อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ” คนพูดไม่เข้าใจ
“ก็พรุ่งนี้แม่งานใหญ่เขาว่าจะคัดตัวนักแสดง”
“แล้วทำไมคุณต้องโดดล่ะคะ” แม่อบมองหน้าใสๆ อย่างงุนงง
“ขี้เกียจไปเป็นต้นไม้หรือก้อนหินให้เขาน่ะสิคะ เข็ด!” คนพูดหัวเราะร่วนเสียงใสยามนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องตกกระไดพลอยโจนให้ต้องขึ้นเวทีเพราะคนเป็นเพื่อนขอร้องแกมบังคับ
‘วันนี้คนที่แสดงเป็นต้นไม้ป่วย ทรายช่วยขึ้นแทนทีสิ ไม่มีบทพูดหรอก นะๆ ช่วยหน่อย’
เพราะความใจอ่อนทำให้สาวน้อยหลวมตัวขึ้นไปแสดงตามคำขอของเพื่อน แต่ทว่าละครวันนั้นแทบล่ม โดยคนแสดงเป็นต้นไม้ เพราะความที่ไม่มีบทพูด แถมยังต้องยืนนิ่งๆ ฉะนั้นพอเวลาผ่านไปนานเข้า ความง่วงงุนจึงมาเยือนทำให้ต้นไม้กลับมีชีวิตเลยเผลอหาวออกมา และแน่นอนแม่เพื่อนผู้เป็นตัวตั้งตัวตีเต้นเป็นงิ้วออกโรง นับจากนั้นมาศุภิสราจึงเข็ดไม่ยอมหลวมตัวใจอ่อนยอมขึ้นเวทีอีก หากศุภิสราไม่รู้ตัวเลยว่าละครเวทีวันนั้นคนที่ดูโดดเด่นเกินหน้าเกินตาใครบนเวทีไม่เว้นแม้แต่นางเอกของเรื่องกลับเป็นแม่สาวน้อยหน้าหวานตาสวยซึ้งที่มารับบทเป็นต้นไม้จำเป็นนั่นเอง
“หิวไหมคะ” คนถามยังคงสาละวนกับงานที่ค้าง
“นิดหน่อยค่ะ ทำอะไรอยู่คะ” ดวงตาคู่งามจับจ้อง ทำท่าจะขยับเข้ามาช่วยอย่างเคยชิน
“เอาคุ้กกี้เรียงใส่โหลค่ะ เอ้า... นี่ค่ะ” ท้ายประโยคหยิบคุ้กกี้ชิ้นหนึ่งยื่นให้อย่างรู้ใจ
“อื้ม... อร่อยจัง ป้าทำเองหรือคะ สงสัยสูตรใหม่...”
“ของฝากจากอังกฤษค่ะ! ”
