ตอนที่ 4 ประกาศิตไร้ใจ (1)
“อวดดีไม่เข้าเรื่อง คราวหลังถ้าไม่สั่ง อย่ายุ่ง” ดวงตาคมกริบเบนไปมองทางอื่น “ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าเลยได้ยิ่งดี”
“เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งไป” เสียงเรียกนั้นทำให้เด็กชายชะงัก ศุภิสรารวบรวมความกล้าเอาผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยออกมายัดคืนใส่มือเจ้าของ “คืนค่ะ ผ้าเช็ดหน้าที่คุณให้ยืมเช็ดเลือดวันก่อนไงคะ ฉันเอาไปซักรีดให้แล้ว ตั้งใจจะคืนหลาย...”
“แคว่ก!” ยังไม่ทันขาดคำ คนพูดก็พลันตะลึงงัน เมื่อเจ้าของผ้าเช็ดหน้าฉีกผ้าผืนน้อยทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี รอยยิ้มหยันแต้มบนมุมปาก ก่อนบดปลายเท้าขยี้เศษผ้าที่น่าสงสารผืนนั้นราวกับขยะไร้ค่า
“ของสกปรกแบบนี้ ฉันไม่อยากได้คืนหรอก เอาทิ้งขยะไปแล้วกัน” ศุภิสรามองผ้าผืนน้อยน่าสงสารที่ถูกเจ้าของทิ้งขว้างโดยไม่มีความผิด หรือถ้าจะผิดก็เพียงเพราะมาอยู่ในมือคนต้อยต่ำอย่างเธอเท่านั้น
“อย่า!” มือคู่น้อยรีบดึงผ้าที่น่าสงสารออกมาจากปลายเท้าเจ้าของ ทำให้อีกฝ่ายเสียหลักล้มตกบันไดลงมา เคราะห์ดียันพื้นไว้ทัน แต่ก็ยังถูกเศษชามที่แตกบาดจนเลือดอาบอยู่ดี
“คุณเพชร!” ศุภิสราเบิกตาค้าง พอได้สติก็รีบเอาผ้ายับยู่ยี่ในมือมาซับเลือดให้อย่างหวังดี
“ออกไป! ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน” พีรภัทรตวาดเสียงดัง “ถึงตาย ฉันก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ... ไป!”
เด็กชายสะบัดสุดแรงจนพลั้งมือผลักร่างบางที่ไม่ทันตั้งตัวหงายหลัง มือที่ยันพื้นโดนเศษแก้วบนพื้นบาดเป็นแผลเหวอะหวะ เด็กชายมองภาพนั้นตาค้าง ด้วยสำนึกที่ดีทำให้เขาถลันตัวจะเข้าช่วย หากแล้วภาพที่พ่อของเขาทำร้ายผู้เป็นมารดาก็แวบเข้ามาในสมอง ทำให้ร่างสูงตรึงนิ่งกับที่ เด็กคนนี้ควรรู้รสชาตินั้นบ้าง
คนตัวเล็กครางแผ่ว ความรู้สึกชาบริเวณแผลที่ถูกเศษแก้วบาดจนเลือดทะลัก พอมองเห็นร่างอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งไม่คิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ น้ำตาเจ้ากรรมก็เอ่อคลอเต็มหน่วย พีรภัทรรีบเมินหน้าหนีภาพนั้นทันที
“อย่ามามองฉันแบบนี้นะ เธอผิดเองที่ไม่อยู่ในที่ของตัวเอง แล้วต่อไปก็จำไว้ซะด้วยล่ะว่า ที่ไหนมีฉัน ที่นั่นจะต้องไม่มีเธอ ถ้าฉันอยู่ที่ไหนก็ตาม จำไว้ว่าที่นั่นคือสถานที่ ‘ต้องห้าม’ สำหรับกรวดทรายไร้ค่าอย่างเธอ และถ้าเธออยู่ที่ไหนก็ตาม ฉันจะไม่ขอเหยียบย่างเข้าไปที่นั่นเป็นอันขาดเช่นกัน!”
ประกาศิตกร้าวของคนเลือดเย็นตรงหน้าทำเอาคนฟังน้ำตาร่วงเผาะ แล้วทันใดนั้นเองน้ำเสียงทรงอำนาจก็แผดก้องขึ้น
“ทำอะไรกันน่ะ” ร่างของคุณพราวพิไลปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ดวงตาเอาเรื่องกวาดมองข้าวของที่เกลื่อนกลาด หากพอมองเห็นลูกชายยืนนิ่ง มือที่กุมกันมีรอยเลือด เท่านั้นเองเจ้าหล่อนก็เบิกตากว้าง
“ตาเพชร!” คุณพราวพิไลตวัดหางตาไปที่ร่างเล็กที่พื้นอย่างเอาเรื่อง “แกกล้าดียังไงเข้ามาทำร้ายลูกชายแบบนี้ หา...”
“ปะ...เปล่าค่ะ” คนตัวน้อยละล่ำละลักปฏิเสธทั้งน้ำตา
“เปล่าอะไร ก็ฉันเห็นตำตาอยู่นี่ ยังจะมาปฏิเสธอีกเหรอ”
“มีอะไรกัน แม่พราว!” คนพูดคือหญิงวัยกลางคนที่โครงหน้ากว่าครึ่งถูกบดบังด้วยผ้าคลุมสีดำมีเค้าประพิมประพายกับคุณพราวพิไล แต่มากวัยกว่า ร่างแบบบางในชุดสีโศกนั่งบนวีลแชร์เข้ามา
“ก็นังเด็กเลวนี่น่ะสิคะ จะฆ่าหลานชายคุณพี่ ดูสิเลือดโชกเลย โถ... ตาเพชรลูกแม่” หญิงมากวัยเขม่นตามองจำเลยร่างเล็กมอมแมมที่นั่งตัวสั่นงันงกแล้วนึกขำน้องสาวที่โอเวอร์เกินเหตุ คนถูกมองเหมือนรู้ตัวเงยหน้ามองผู้มาใหม่
“เอ๊ะ! นี่มัน...” โดยไม่มีใครคาดคิด ฝ่ามือเรียวก็ฟาดลงมาบนใบหน้าเด็กน้อยทันใด แก้มใสขึ้นรอยนิ้วมือแดงเห่อเป็นปื้น ริมฝีปากแตก มีโลหิตแดงสดซึมออกมาทันที ความหวาดกลัวแล่นจับหัวใจดวงน้อยจนน้ำตาคลอ
“แม่พราว!” คนเป็นพี่อุทานลั่น นึกไม่ถึงว่าน้องสาวของตัวเองจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ คุณพราวพิไลเงื้อมือฟาดอย่างไม่เลือกที่ อาการเกี้ยวกราดนั้นแม้แต่คนเป็นลูกชายยังตกตะลึง
“โอ้ย...เจ็บ...กลัวแล้ว อย่าตีหนูเลยค่ะ หนูกลัวแล้ว” เหยื่อตัวน้อยร้องเสียงหลง ยกมือไหว้ปลกๆ พลางหลบหลีกฝ่ามือพิฆาตคู่นั้นเป็นพัลวัน ด้วยความเจ็บร้าวระบมไปทั้งร่าง มือที่มีเลือดซึมพยายามยกปัดป้องกันตัวเองอย่างน่าสงสาร จนผู้ร่วมเหตุการณ์ไม่อาจทนได้อีกต่อไป
